แปลเพลง - Mid Air - Paul Buchanan - About Time OST

คุณเลือกที่จะจดจำคนที่มีความหมายต่อคุณยังไงครับ?



มีปรัชญาชีวิตซ่อนอยู่มากมายในหนังเรื่อง About Time เช่นคำถามที่เราอาจอยากถามตัวเองว่าเราสามารถรักใครคนนึงได้มากขนาดไหน? แนวคิดของการใช้ชีวิตสองครั้งแบบต่างขั้วในหนึ่งวัน รอยยิ้มของเราคือของขวัญของผู้คน หรือการเลือกที่ยากที่สุดของชีวิตอาจไม่ได้เป็นไปเพื่อตัวของเราเอง และอีกหลายๆปรัชญาหลายๆมายด์เซ็ทที่น่าสนใจนำมาพิจารณาปรับใช้กับชีวิตของเรา ถือว่าเป็นหนังแนะนำเรื่องนึงที่ไม่ควรพลาดครับ และแน่นอนที่สุด ผมชอบหนังเรื่องนี้ :)

มีสปอยล์นิดหน่อยครับ
เพลงวันนี้เป็นเพลงที่ผู้อ่านขอมาและประกอบหนังเรื่องนี้เองครับ เพลง Mid Air นี้ถูกเล่นในช่วงที่พระเอกมีความรู้สึกพิเศษกับนางเอก เพิ่งจะได้รู้จักเธอแต่กลับต้องเสียเธอไป เพลงนี้จึงสื่อถึงการระลึกถึงใครบางคนที่มีความหมายพิเศษมากๆกับเราครับ



Mid Air - Paul Buchanan
Source:
SLM Sintiendo la musica Youtube channel


 

Mid Air

The buttons on your collar
The color of your hair
I think I see you everywhere

I want to live forever
And watch you dancing in the air

All the lies and make believe
The very things that one day leave
But I can see you standing in mid air

The girl I want to marry
Upon the high trapeze
The day she fell and hurt her knees

And only time can make you
The wind that blows away the leaves

For everything that life was worth
The fallen snow, the virgin birth
Yeah I can see her standing in mid air

I can see you standing in mid air

กลางอากาศ

กระดุมแบบเดียวกับคอเสื้อเธอ
สีผมสีเดียวกับสีผมเธอ
ไม่ว่าที่ไหนเห็นเพียงแต่เธอ

อยากมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์
เพราะยังเห็นเธอทุกแห่งกับชั้น

ถึงต้องเจอคำจริงทั้งสิ่งลมลวง
สิ่งต่างๆมากมายของวันทั้งวัน
แต่ชั้นยังมองเห็นเธอได้ในกลางอากาศ

หญิงที่ชั้นรักและอยากแต่งด้วย
โหนอยู่บนราวที่สูงซะด้วย
ชั้นจำได้วันเธอตกจนต้องเจ็บเข่า

ต่อให้เวลาต้องเดินต่อไป
ลมจะพัดเอาใบไม้ไปไหน

สิ่งทรงคุณค่ากับชีวิตมากมาย
หิมะร่วงโรย ชีวิตใหม่กำเนิดมา
ใช่ ชั้นก็ยังมองเห็นเธอได้ในกลางอากาศ

เธอก็ยังอยู่ในชีวิตชั้นตลอด


อรรถาธิบาย

Mid Air เป็นเพลงแห่งความทรงจำที่ค่อนข้างแปลยากในวลีลอยๆอันไม่สมบูรณ์และมีความหมายที่ไม่ธรรมดาในช่วงท้ายของเพลงครับ อารมณ์เพลงคือการรำพึงรำพันถึงใครคนหนึ่งที่ยังอยู่ในความทรงจำของเราที่ชัดเจนซะจนเหมือนกับเค้ายังคงมีตัวตนอยู่ในอากาศว่างๆตรงหน้าหรือไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ตาม นั่นก็กระดุมคอเสื้อเธอ นี่ก็สีผมของเธอ ต่อให้เจออะไรใครพูดอะไรจะจริงจะเท็จแค่ไหน วันทั้งวันจะผ่านอะไรมากมายสักเพียงใด ยังไงๆก็ยังเห็นเธอได้ทุกแห่งหนในกลางอากาศ

เพลงนี้พิเศษมากๆครับเพราะคล้ายกับว่าผู้ประพันธ์เพลงนั้นแฮ็กอารมณ์ของเรา เนื่องจากเพลงนี้เป็นเพลงเศร้าที่เล่นด้วยคีย์เมเจอร์ มันเลยไม่ดึงให้เราดาร์กและจมลงไปมากมายเหมือนเพลงเศร้าทั่วไปที่มักจะเล่นด้วยไมเนอร์คีย์ และความเป็นเมเจอร์ของมันทำให้เราระลึกถึงความทรงจำที่สวยงามมากกว่าจะเป็นไปในทางลบ ถึงจะเศร้าแต่ก็สวยงามครับ

 

Button คือกระดุม collar คือคอเสื้อ แค่เห็นสองสิ่งที่เหมือนของเธอแบบนี้ในทุกที่ทุกแห่งที่ไป (everywhere) เลยทำให้เหมือนกับว่าได้เห็นเธอ (I think I see you) เช่นกัน

I want to live forever and watch you dancing in the air ตรงนี้มีความหมายเชิงจิตวิทยาแฝงอยู่ครับ โดยปกติคนที่สูญเสียคนที่ตัวเองรักไปมีแนวโน้มที่จะทำร้ายตัวเองมาก ดังนั้นในท่อนนี้มีข้อความสื่อสารกับเธอว่าเธอไม่ต้องห่วงว่าชั้นจะทำร้ายตัวเอง เพราะที่นี่ก็มีเธออยู่ทุกแห่งหน ทั้งตรงนั้นตรงนี้แม้แต่ในกลางอากาศ เมื่อมีเธออยู่ที่นี่ด้วยกันอยู่แล้ว ซึ่งเธอที่ชั้นเห็นยังสดใสร่าเริงขนาดนั้น dancing ให้ความรู้สึกที่สดใสร่างเริงครับ ดังนั้นชั้นอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อเพียงเพื่อให้ได้เห็นเธอที่สดใสร่าเริงนี้ตลอดไป เธอจึงไม่จำเป็นต้องห่วงว่าชั้นจะทำอะไรไม่ดีลงไป

คราวนี้ถึงส่วนที่ยากแล้วครับ ผู้ร้องเริ่มรำพึงรำพันถึงความทรงจำต่างๆที่ไม่ได้ปะติดปะต่อและไม่ได้เกี่ยวข้องกัน แล้วเปรียบเทียบมันกับชีวิตประจำวันของตัวเอง

อย่าง...

All the lies and make believe ทั้งคำเท็จ (lies) หรือแม้แต่คำอธิบายต่างๆมากมายที่จะทำให้เราเชื่อคำเท็จเหล่านั้น (make-believe)

อีกทั้ง... 

The very things that one day leave (ตรงนี้แปลยากนะครับเพราะเป็นวลีรำพึงรำพันลอยๆ แต่ถ้าเราลอง sense เข้าไปรู้สึกดูจะทำให้แปลอังกฤษเป็นความรู้สึกที่เขียนออกมาเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า the every particular things that one day can give them to you ซึ่งมันทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นเยอะเลยครับ) ซึ่งนั่นแปลว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่ามันจะเป็นส่วนเล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่ขนาดไหน จะหยาบกระด้างหรือละเอียดอ่อนเพียงใด สิ่งละอันพันละน้อยที่จะผ่านเข้ามาสู่ชีวิตเราได้ในหนึ่งวัน 

นั่นทำให้...

(แต่ถึงกระนั้น) ชั้นก็ยังมองเห็นเธออยู่ในกลางอากาศ but I can see you standing in mid air ได้อยู่ดี

ต่อครับ The girl I want to marry หญิงที่ชั้นต้องการแต่งงานด้วยนั้น Upon the high trapeze เธออยู่บน (upon) trapeze ซึ่งก็คือราวโหนตัวกายกรรมที่ห้อยอยู่สูงๆ (high) 
 

Trapeze ราวเชือกห้อยโหนกายกรรม
Trapeze ราวเชือกห้อยโหนกายกรรม

The day she fell and hurt her knees แปลตรงๆว่า วันที่เธอตกลงมาและทำให้เธอบาดเจ็บที่หัวเข่า เนื่องจากนี่เป็นการรำพึงรำพันทำให้มันไม่มีจุดประสงค์ที่เอ่ยขึ้นมา หมายความว่า ไม่รู้ว่าอยู่ๆจะเอ่ยขึ้นมาทำไมนั่นแหล่ะครับ อย่างที่บอกว่าเพลงนี้เป็นการรำพึงรำพันถึงความทรงจำบางอย่าง และความทรงจำช่วงนี้ที่เขาเห็นเธอตกลงมาจากราวห้อยตัวนั้นมันเป็นเหตุการณ์สำคัญในความทรงจำของเค้านั่นแหล่ะครับ ซึ่งในเหตุการณ์นี้มันคงเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกเยอะแยะมากมายจนไม่อาจจะลืมได้ (นี่เป็นเนื้อเรื่องของเพลง ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องขอหนังนะครับ)

ที่นี้เค้าก็เริ่มยกขึ้นมาอ้างครับ ความทรงจำในวันที่เธอตกอย่างนึง and only time can make you (ตรงนี้แปลยากนะครับเพราะมันลอยๆอย่างไม่มีเป้าหมายตรงๆเหมือนกัน ซึ่งเมื่อมองไปตรงๆทำให้ได้เห็นว่าเวลามันเป็นช่องอยู่ ซึ่งนั่นทำให้รู้สึกถึงการใช้เวลาของเรา ทำให้แปลอย่างเป็นความรู้สึกได้ว่าต่อให้เวลาต้องเดินต่อไป) อย่างนึง the wind that blows away the leaves (ลมจะพัดพาเอาใบไม้ปลิวลอยออกไป - สื่อถึงการเปลี่ยนแปลง ความไม่คงอยู่และไม่อาจควบคุมได้) อย่างนึง หรือ everything that life was worth (ความหมายที่เป็นคุณค่าของการมีชีวิต) อย่างนึง fallen snow (หิมะร่วงโรย - ความรู้สึกหนาวเหน็บและอาจนำมาซึ่งการสิ้นไปของชีวิต) ด้วยอย่างนึง อีกทั้ง virgin birth (การก่อกำเนิดใหม่ของชิวิต) ด้วยอีกอย่างนึง ซึ่งรวมๆกันแล้วหมายถึงแม้แต่อะไรต่ออะไรก็ตามที่จะเปลี่ยนแปลงและผ่านเข้ามาในชีวิตของเค้า สิ่งที่เค้าไม่อาจควบคุมได้ในการดำเนินไปของชีวิต ทั้งความเป็นความตาย (อาจเป็นของคนรอบข้างในชีวิตของเค้า ใครจะเกิดใครจะตาย) ไม่ว่ายังไงเค้าก็จะไม่มีวันลืมเธอไปนั่นเองครับ ยังคงมองเห็นเธอได้ในกลางอากาศอยู่ดี และเธอก็จะยังคงอยู่ในชีวิตของเขาตลอดไป

 

ไม่มีใครไม่ควรค่าแก่การคิดถึงครับ แต่ละคนมีมุมที่แตกต่างกันให้เราจดจำ สิ่งที่สำคัญนั้นอยู่ที่มุมที่เราเลือก สิ่งที่สำคัญในการเลือกนั้นมีหลายอย่าง แต่มีองค์ประกอบอย่างนึงที่ผมอยากเสนอให้ลองพิจารณาในการเลือกนั่นคือ "ความใจกว้างของเราเอง" ครับ

 

Happy thinking krub.


 

<< เพลงที่แล้ว : Father & Son - Cat Stevens Starving - Hailee Steinfeld : เพลงถัดไป >>



Create Date : 17 พฤษภาคม 2562
Last Update : 26 พฤษภาคม 2562 13:01:32 น.
Counter : 1658 Pageviews.

2 comments
  
~HBD ka.... :)
โดย: . IP: 223.204.155.102 วันที่: 13 กันยายน 2562 เวลา:12:53:20 น.
  
Thank you so much ja :)
โดย: Karz วันที่: 15 กันยายน 2562 เวลา:21:04:25 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Karz
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 126 คน [?]





สงวนลิขสิทธิ์
พฤษภาคม 2562

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
18
19
20
21
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog