แปลเพลง - Six degrees of separation - The Script - ทฤษฎีความปวดร้าวหกระดับ

คุณเคยนับบ้างรึเปล่าครับว่าความปวดร้าวจากการอกหักของคุณมีกี่ระดับ?

วันนี้ไม่ใช่เพลงประกอบภาพยนตร์ครับ วันก่อนผมเปิดเพลงฟังในรถ ก็ฟังไปเรื่อยๆหลายเพลงผ่านไปก็มีข้ามๆไปบ้าง แล้วก็มาถึงเพลงนึงครับที่จังหวะโดดเด่นใช้ได้ทีเดียว เลยมีความตั้งใจฟังพอที่จะจับคำพูดบางคำในบางประโยคได้ว่าเค้าพูดว่าอะไรบ้าง (ฟังยากจริงๆ^^') แล้วรู้สึกว่า โอ้... เพลงนี้เท่ห์มาก มีการจัดลำดับอะไรด้วย ก็เลยกดดูชื่อเพลงหน่อย แล้วก็ โอ้... อีกรอบ ชื่อเพลงนี้ไม่ธรรมดาครับ เป็นชื่อของทฤษฎีๆนึงครับที่มีชื่อเล่นที่บางท่านอาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่าเป็นทฤษฎีโลกใบเล็ก คนแต่งเพลงเค้าต้องเอาทฤษฎีนี้มาเปรียบอะไรซักอย่างกับเรื่องความรู้สึกแน่ๆเลย สนใจทันทีครับ แบบนี้ต้องขอแปลซักหน่อยแล้ว :)



Six degrees of separation - Script
Source: TheScriptVEVO Youtube Official Channel





You've read the books, you've watched the shows
What's the best way, no one knows

You meditate, get hypnotized
Anything to take it from your mind
But it won't go
You're doing all these things out of desperation
You're going through six degrees of separation

You hit the drinking, take a toke
Watch the past go up in smoke
Fake a smile, lie and say
You're better now than ever and your life's okay
But it's not, no

You're doing all these things out of desperation
You're going through six degrees of separation

First, you think the worst is a broken heart
What's gonna kill you is the second part
And the third, is when your world splits down the middle
And fourth, you're gonna think that you fixed yourself
Fifth, you see them out with someone else
And the sixth, is when you admit that you may have fucked up a little

(Oh no there ain't no helping, it's every man for himself)
(Oh no there ain't no helping, it's every man for himself)

You tell your friends, yea strangers too
Anyone who will throw an arm around you
Tarot cards, gems and stones
Believing all the shit's gonna heal your soul
Well it's not, whoa

You're only doing things out of desperation
You're going through six degrees of separation

First, you think the worst is a broken heart
What's gonna kill you is the second part
And the third, is when your world splits down the middle
And fourth, you're gonna think that you fixed yourself
Fifth, you see them out with someone else
And the sixth, is when you admit that you may have fucked up a little

Oh no there's no starting over
Without finding closure
You take them back no hesitation
That's how you know you've reached the sixth degree of separation

Oh no there's no starting over
Without finding closure
You take them back no hesitation
That's how you know you've reached the sixth degree of separation

First, you think the worst is a broken heart
What's gonna kill you is the second part
And the third, is when your world splits down the middle
And fourth, you're gonna think that you fixed yourself
Fifth, you see them out with someone else
And the sixth, is when you admit that you may have fucked up a little

(Oh no there ain't no helping, to remember one's self)
You're going through six degrees of separation
(Oh no there ain't no helping, to remember one's self)

You're going through six degrees of separation




ทฤษฎีความปวดร้าวหกระดับ

จะอ่านหนังสือ หรือจะดูรายการทีวี ยังไม่มีใครรู้วิธีที่ดีที่สุด
จะทำสมาธิ หรือไปบำบัดด้วยการสะกดจิต อะไรก็ได้ที่จะช่วยให้เธอเลิกคิด
แต่มันก็ไม่เป็นผลหรอก
เธอก็แค่ทำสิ่งเหล่านี้ไปเพราะสิ้นหนทางเท่านั้น
โอ้... มันไม่ใช่เลย
แล้วเธอก็มุ่งเข้าสู่หนทางแห่งทฤษฎีความปวดร้าวหกระดับ

ไม่ว่าจะกินเหล้าเมายา นั่งพี้กัญชา มองดูอดีตที่ผ่านมาลอยคลุ้งไปกับควัน
หรือแสร้งแกล้งยิ้ม แล้วโกหกตัวเอง ว่าเทียบชีวิตกับที่ผ่านมามันดียิ่งกว่าโอเค
แต่มันก็ไม่ใช่นี่ ไม่ใช่เลย
เธอก็แค่ทำสิ่งเหล่านี้ไปเพราะสิ้นหนทางเท่านั้น
โอ้... มันไม่ใช่หรอก
แล้วเธอก็มุ่งเข้าสู่หนทางแห่งทฤษฎีความปวดร้าวหกระดับ

ระดับแรกแค่หัวใจสลายเธอก็คิดว่ามันแย่ที่สุดแล้ว
แต่ส่วนที่จะสามารถฆ่าเธอได้คือความคิดของเธอเอง นั่นยังระดับที่สอง
และระดับที่สามจะเกิดเมื่อเธอตระหนักได้ว่าโลกของเธอมันพังทลายไปหมดแล้ว
เธอจะคิดว่าทำใจได้ และคิดว่าตัวเองไม่เป็นไรแล้วคือระดับที่สี่
แต่เธอจะเข้าระดับที่ห้าเมื่อรู้ตัวว่าใจเธอยังอยู่กับเค้าอยู่ดี เธอยังไม่ได้หายดี
และจะถึงระดับที่หกเมื่อเธอยอมรับได้แล้วว่าเธอเองก็ทำพลาดไปบ้าง

(มันไม่มีวิธีช่วยเหลือหรอกนะ ทุกคนต้องช่วยตัวเองนะ)
(มันไม่มีวิธีช่วยเหลือหรอกนะ เรื่องแบบนี้ตัวใครตัวมัน)

แม้จะเล่าสู่เพื่อนๆเธอ หรือแม้แต่ใครต่อใครฟัง จะเป็นใครก็ได้ที่เข้ามาปลอบใจเธอ
หรือไปหาหมอดู ไปดูเพชรพลอยอัญมณี เพราะคิดว่าของพวกนี้จะช่วยรักษาใจเธอ
ซึ่งไม่หรอก... ไม่เลย
เธอก็แค่ทำสิ่งเหล่านี้ไปเพราะสิ้นหนทางเท่านั้น
โอ้... มันไม่ใช่หรอก
แล้วเธอก็มุ่งเข้าสู่หนทางแห่งทฤษฎีความปวดร้าวหกระดับ

ระดับแรกแค่หัวใจสลายเธอก็คิดว่ามันแย่ที่สุดแล้ว
แต่ส่วนที่จะสามารถฆ่าเธอได้คือความคิดของเธอเอง นั่นยังระดับที่สอง
และระดับที่สามจะเกิดเมื่อเธอตระหนักได้ว่าโลกของเธอมันพังทลายไปหมดแล้ว
เธอจะคิดว่าทำใจได้ และคิดว่าตัวเองไม่เป็นไรแล้วคือระดับที่สี่
แต่เธอจะเข้าระดับที่ห้าเมื่อรู้ตัวว่าใจเธอยังอยู่กับเค้าอยู่ดี เธอยังไม่ได้หายดี
และจะถึงระดับที่หกเมื่อเธอยอมรับได้แล้วว่าเธอเองก็ทำพลาดไปบ้าง

โอ... เธอไม่มีทางเริ่มต้นใหม่ได้หรอกหากไม่พยายามจบเรื่องเก่าให้ได้ก่อน
ถ้าหากเธอรู้สึกว่ายังวนเวียนคิดถึงความปวดร้าวอยู่อย่างนั้น 
นั่นแหล่ะคือเครื่องหมายที่จะบ่งบอกว่าเธอเข้ามาสู่ทฤษฎีความปวดร้าวหกระดับแล้ว

โอ... เธอไม่มีทางเริ่มต้นใหม่ได้หรอกหากไม่พยายามจบเรื่องเก่าให้ได้ก่อน
ถ้าหากเธอรู้สึกว่ายังวนเวียนคิดถึงความปวดร้าวอยู่อย่างนั้น 
นั่นแหล่ะคือเครื่องหมายที่จะบ่งบอกว่าเธอเข้ามาสู่ทฤษฎีความปวดร้าวหกระดับแล้ว

ระดับแรกแค่หัวใจสลายเธอก็คิดว่ามันแย่ที่สุดแล้ว
แต่ส่วนที่จะสามารถฆ่าเธอได้คือความคิดของเธอเอง นั่นยังระดับที่สอง
และระดับที่สามจะเกิดเมื่อเธอตระหนักได้ว่าโลกของเธอมันพังทลายไปหมดแล้ว
เธอจะคิดว่าทำใจได้ และคิดว่าตัวเองไม่เป็นไรแล้วคือระดับที่สี่
แต่เธอจะเข้าระดับที่ห้าเมื่อรู้ตัวว่าใจเธอยังอยู่กับเค้าอยู่ดี เธอยังไม่ได้หายดี
และจะถึงระดับที่หกเมื่อเธอยอมรับได้แล้วว่าเธอเองก็ทำพลาดไปบ้าง

(มันไม่มีวิธีช่วยเหลือหรอกนะ เธอต้องจำเอาไว้เทียบเอง) ถึงทฤษฎีความปวดร้าวหกระดับนี้


(มันไม่มีวิธีช่วยเหลือหรอกนะ เธอต้องจำเอาไว้เทียบเอง) ถึงทฤษฎีความปวดร้าวหกระดับ





อรรถาธิบาย


ชื่อเพลงของเพลงนี้เป็นการเล่นคำของการเอาชื่อทฤษฎี Six degrees of separation มาใช้ครับ เป็นทฤษฎีที่มีชื่อเรียกหลายชื่อมาก (ทฤษฎีหกช่วงคน ทฤษฎีความสัมพันธ์หกขั้น ฯลฯ) แต่ชื่อที่น่าจะทำให้คนรู้จักทฤษฎีนี้มากที่สุดน่าจะชื่อทฤษฎีโลกใบเล็กครับ เป็นทฤษฎีที่ว่าคนสองคนที่ไม่เคยรู้จักกันบนโลกนี้ห่างกันไม่เกินหกคนรู้จักครับ  เพลงนี้ลักษณะเหมือนเป็นการบรรยายหรือพรีเซนส์ครับ มีบอกอาการ บอกลักษณะ ยกตัวอย่าง จุดสังเกต ข้อแนะนำ สมกับเป็นการบรรยายทฤษฎีทางวิชาการครับ ถึงว่ามันเท่ห์มาก :)

  • ถ้าดูรูปประโยคจนรู้อารมณ์โดยรวมของเพลงว่ามันเป็นไปในลักษณะไหนแล้ว คำว่า You แทบทั้งเพลงก็แทบไม่จำเป็นต้องแปลครับ ผมเลยแปลเฉพาะเท่าที่จำเป็นต่อการสื่อความรู้สึกในจุดที่ต้องสื่อเท่านั้น

  • Read the books, watched the shows เติม s ทั้งนั้น มันหมายถึงต่อให้เยอะขนาดไหนครับ จะอ่านหนังสือกี่เล่มหรือดูทีวีโชว์กี่รายการงี้ แต่ถึงจะอ่านจะดูอะไรไปบ้างแต่มันก็เท่านั้น เพราะยังไม่มีใครคิดออกไม่มีใครรู้วิธีที่ดีที่สุดจากวิธีที่ทำให้หายจากความรู้สึกแบบนี้ (the best way, no one knows)

  • Hypnotized ตรงนี้หมายถึงไปบำบัดจิตด้วยการสะกดจิตครับ จากที่เคยดูหนังฮอลีวู้ดกันก็คงคุ้นกันอยู่แล้วใช่มั้ยครับว่าต่างประเทศเค้ามักจะไปปรึกษาจิตแพทย์กันอยู่แล้ว และสมัยนี้การบำบัดแบบนึงที่จิตแพทย์นิยมใช้กันก็คือสะกดจิตแบบ NLP ครับ

  • But it won't go คือมันไม่ไปไหนเลย สิ่งที่ทำไปแล้วทั้งหมดนั้นมันไม่ทำให้อะไรดีขึ้น You ยังทำสิ่งต่างๆเหล่านี้ (doing all these thing) ออกมาจากความสิ้นหวัง (out of desperation) ในที่นี้หมายถึงหวังว่าทำแล้วมันจะรู้สึกดีขึ้น หายจากความรู้สึกที่กำลังเป็นอยู่ และเพราะไม่มีใครรู้วิธีที่ดีที่สุดก็เลยหาอะไรทำไปเรื่อยๆ แต่ก็นั่นแหล่ะครับ เพราะ but it won't go

  • You're going through six degrees of separation และสุดท้ายมันก็ทำให้เราเข้ามาอยู่ภายใต้ทฤษฎีความปวดร้าวหกระดับ คำว่า separation แปลว่าแยกกัน ถ้าเราแปลตรงตัว six degrees of separation จะแปลว่า หกองศาหรือหกขั้นแห่งการแยกจากกันอำลาหรือแยกทางกัน แต่ในเมื่อเรารู้แล้วว่าวลียาวๆนี้มันเป็นชื่อทฤษฎี งั้นเราก็แปลออกมาให้เป็นชื่อทฤษฎีบ้างเหมือนกันดีมั้ยครับ :)

  • Hit the drinking คำว่า hit ตรงนี้ใช้เป็นแสลงครับ แปลตรงตัวก็จะประมาณว่าเอาเหล้ากระแทกปาก (ไม่ใช่ขวดนะครับ) ต้องออกตัวไว้ก่อนนะครับว่าเพลงนี้ขนาด Official MV ยังขึ้นข้อความเตือนว่าผู้ปกครองควรพิจารณา เพราะว่าในเพลงมีการใช้คำไม่สุภาพด้วยครับ ดังนั้นจริงๆแล้วเพลงนี้จะแปลแบบหยาบๆก็น่าจะไม่ผิดอะไรครับ แต่ว่าเราไม่แปลกันถึงขนาดนั้นใช่มั้ยล่ะครับ :)

    Take a toke คำว่า toke ก็เป็นแสลงครับ (ผู้ปกครองควรพิจารณา) หมายถึงการซี้ดเอาควันกัญชาเข้าปอด ดังนั้นก็ออกมารับกับท่อนต่อไปคือ watch the past go up in smoke เพราะต้องพ่นควันออกมาแล้วควันมันก็ลอยอ้อยอิ่งอยู่อย่างนั้น แล้วก็นั่งมองควันทอดอารมณ์ปล่อยใจระลึกถึงความหลัง ประมาณนั้นครับ

  • ระดับที่หนึ่ง Worse แปลว่าแย่ที่สุดครับ เอามาใช้ตรงนี้เพราะต้องการเน้นความรู้สึกว่า ที่กำลังอกหักหัวใจสลายปวดร้าวเจียนตายจนมันแย่ที่สุด worse แล้วไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้วน่ะ มันยังแค่ระดับที่หนึ่งเท่านั้น นี่มันเป็นเรื่องรุนแรงมากนะครับถ้าแค่ระดับที่หนึ่งยังขนาดนี้ แต่ส่วนที่สองนี่สิครับโหดกว่าอีก

  • ระดับที่สอง what's gonna kill you is the second part ขั้นนี้รุนแรงถึงขนาดฆ่าเราได้เลย แต่ก็ไม่ได้เฉลยนะครับว่าคืออะไร ส่วนนี้ถ้าใครเคยเป็นจะรู้ครับว่าเราจะมีคำถามอยู่เต็มหัวไปหมด แล้วเราก็พยายามคิดเพื่อจะตอบคำถามเหล่านั้น แล้วความคิดเรามันก็จะหมุนเวียนไปเรื่อยๆ วนคิดวนเจ็บอยู่อย่างนั้น บางครั้งก็หาทางออกไม่ได้ก็อาจจะทำร้ายตัวเอง บางคนถึงขนาดฆ่าตัวตายก็มี จุดนี้ what's gonna kill you ก็คือ "ความคิดของเราเอง" นั่นแหล่ะครับ

  • ระดับที่สาม split แปลว่าแยกครับ split down คือแยกออก คือจริงๆแล้ว split จะใช้แบบนี้ก็ได้ครับ split down, split up, split out แต่จะแปลยังไงดีครับ? แยกลง แยกขึ้น แยกออก? ความหมายหลักของมันอยู่ที่คำว่าแยกครับ พอมารวมกับ middle, split down the middle เลยแปลว่าผ่ากลาง หมายถึงโลกทั้งโลกของเรามันโดนผ่ากลาง ถูกทำลายลงไปแล้ว สรุปใจความสำคัญคือมันพังทลายครับ ซึ่งอาจหมายถึงโลกของราในแบบที่เราคิดเราวาดเอาไว้มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว มันพังทลายแล้ว และเราก็เจ็บปวดจากสิ่งนี้เช่นกัน

  • ระดับที่สี่  you're gonna think that you fixed yourself ตรงนี้บรรยายบอกอาการครับ ผ่านมาสามระดับแล้ว คิดว่าตัวเองทำใจได้แล้ว ไม่เจ็บเท่าเดิมแล้ว ความเจ็บปวดลดลงแล้ว น่าจะรักษาตัวเองได้แล้วครับ fixed คือซ่อมได้แล้ว

  • ระดับที่ห้า you see them out with someone else คำว่า them ตรงนี้มีสองนัยครับ นัยแรกที่เข้าใจกันได้ง่ายๆคือคำว่า them นั้นใช้แทนตัวคนรักของเราที่เลิกกันไป เพราะในเพลงตั้งแต่เริ่มต้นมาไม่ได้ระบุไว้เลยว่าเราเป็นใครครับ หมายถึงเราเป็นชายหรือหญิง ถ้าระบุไว้ก่อนก็จะสามารถใส่ตรงนี้ได้ว่า you see her/him out with someone else ซึ่งพอไม่ได้ระบุไว้ก่อนตรงจุดนี้ก็เลยใช้ them แทนได้ครับ อีกอย่างนึงที่บ่งบอกว่าเค้าไม่สามารถที่จะระบุเพศของเราไว้ก่อนได้เพราะเพลงนี้เหมาะกับทั้งผู้ชายและผู้หญิงครับ โดยในเพลงนั้นบรรยายลักษณะอาการที่ผู้ชายเป็นและผู้หญิงเป็น อย่างเช่น กินเหล้าเมายาพี้กันกัญชา คิดว่ากิจกรรมนี้น่าจะเป็นของผู้ชายโดยส่วนใหญ่ ส่วนไปหาหมอดูไปดูเพชรพลอยอัญมณีก็น่าจะเป็นกิจกรรมของผู้หญิง ประมาณนี้ครับ

    ส่วนนัยที่สองนั้นเชื่อมต่อมาจากความหมายของระดับที่สี่ครับ ในระดับที่สี่พูดเรื่องการ fixed yourself การ fixed ตรงนี้คือใจครับ ซึ่งประโยคที่ต่อกันมาก็จะต้องเชื่อมสิ่งที่พูดถึงเป็นเรื่องเดียวกัน ดังนั้น you see them out ตรงนี้ them เลยหมายถึงใจของเราที่เราคิดว่าซ่อมไว้ดีแล้ว ไม่เจ็บไม่ปวดแล้ว ยอมอยู่กับเราแล้ว พอเรารู้ตัวอีกทีก็ไปนึกถึงเรื่องเก่าอีกแล้ว คิดถึงเค้าอีกแล้ว นั่นคือ with someone else ครับ (คนที่ไม่รักเราก็เหมือนเป็นคนอื่น) เมื่อเรามีความสามารถ "มองเห็น" ว่าใจมันไปอยู่กับคนอื่น (คือมีสติมากขึ้น) นั่นแหล่ะครับ ก็จะรู้ตัวว่าจริงแล้วเราก็ไม่ได้ซ่อมตัวเองได้สำเร็จจริงอย่างที่คิดเลย เราก็ยังคิดถึงเค้าอยู่เหมือนเดิม แต่ก็ใกล้จะจบแล้วล่ะครับ

  • ระดับที่หก admit that you've fucked up a little คำว่า admit หมายถึงยอมรับครับ (ไม่ใช่เข้าโรงพยาบาลนะ อันนั้นหมายถึงยอมรับการเป็นผู้ป่วยใน) คำว่า fucked up มันก็หยาบไปหน่อย The Script เองตอนเล่นสดออกทีวีก็ต้องเปลี่ยน wording ใหม่เป็น messed up ครับ ก็ได้ความหมายคล้ายๆกันคือวุ่นวาย ผิดพลาด พลาดพลั้ง ประมาณนี้ครับ ความหมายในเชิงปรัชญาก็คือถึงขั้นนี้เรามีสติมากพอและใจกว้างมากพอที่จะยอมรับความผิดพลาดของตัวเองได้ครับ

  • Ain't no helping คำว่า ain't เป็นรูปย่อของ are not ครับ (จริงแล้วมันย่อลดรูปมั่วไปหมดครับ is not, are not, have not, etc.) ain't เป็นภาษาพูดครับ ไม่มีแกรมม่าสำหรับคำนี้ ก็อาจจะเป็นหนึ่งในภาษาวิบัติเหมือนจุงเบยของเรามังครับ ain't no help เลยแปลว่าไม่มีการช่วยเหลือ ในที่นี้หมายถึงวิธีช่วยเหลือครับ

    Every man for himself ก็เป็นแสลงครับ แปลว่า ตัวใครตัวมัน ในที่นี้ก็คือทุกๆคนต่างก็ต้องช่วยเหลือตัวเองด้วยกันทั้งนั้นครับ

  • You tell your friends, เราเล่าให้เพื่อนฟัง strangers too คนแปลกหน้าก็ด้วย อันนี้เห็นอารมณ์นะครับ เหมือนในหนังก็ได้ ที่ฝรั่งไม่สบายใจมักจะไปนั่งดื่มในบาร์ พอใครมานั่งใกล้ๆก็ระบายให้เค้าฟังหรืออาจจะกับบาร์เทนเดอร์ก็ด้วย แท็กซี่ก็ด้วย อารมณ์นั้นแหล่ะครับ

    Throw and arm around you ลองแปลตรงตัวนะครับ โยนแขนมารอบตัวคุณ แบบนี้ทำให้นึกถึงหนังซอมบี้ครับ จริงๆต้องดูลักษณะครับ throw an arm around you ตรงนี้ลักษณะเหมือนการโอบกอด ซึ่งในสถานการณ์นี้ก็คือการปลอบใจนั่นแหล่ะครับ

  • Tarot card ก็คือไพ่ทาโร่ที่ไว้ดูดวงครับ Gem/stone ก็คือเพชรพลอยหินสี believing all the shit's gonna heal your soul ตรง shit นี้ก็ไม่สุภาพครับ ตรงนี้ The Script เองตอนเล่นสดออกทีวีก็เปลี่ยน wording เป็น stuff แทน ดังนั้นความหมายที่สุภาพๆของ shit ในเพลงนี้ก็คือ stuff เหล่านี้ ซึ่งก็คือ tarot card, gem, stone นั่นแหล่ะครับ ที่เราไปดูดวงไปช๊อปปิ้งซื้อของสวยงามให้สบายใจขึ้น แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา แล้วเราก็ต้องตกเข้ามาสู่วังวนของความปวดร้าวหกระดับนี้อยู่ดี

  • There's no starting over without finding closure เป็นประโยคนึงครับ You take them back no hesitation เป็นอีกประโยคนึง that's how you know you've reached sixth degrees of separation ก็อีกประโยคนึง

    ประโยคแรกเป็นข้อแนะนำครับ กล่าวลอยๆขึ้นมาเพื่อแนะนำก่อนว่า เราไม่ควรเริ่มต้นอะไรใหม่ หากยังไม่พยายามจบเรื่องเดิมให้ได้ก่อน หมายถึงในความสัมพันธ์ของคนเรา ถ้าหากความสัมพันธ์กับคนเดิมยังไม่จบก็ไม่ควรไปเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่เพราะมันจะซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีกและจะมีปัญหาตามมาได้ครับ ในเพลงนี้ถึงแม้ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ในเพลงนี้จบลงไปแล้ว แต่ตัวเราเองก็ยังไม่ยอมจบครับ ใจเรายังวนเวียนอยู่ในวังวนของความปวดร้าวทั้งหกอยู่ดีมันเลยเป็นเหมือนกับว่าเรายังไม่มาถึงจุดที่มันเป็น closure

    ประโยคที่สอง them ตรงนี้หมายถึงความปวดร้าวที่มันวนเวียนอยู่ครับ you take them back no hesitation เราเปิดรับเอามันกลับมาคิดได้ตลอดเวลาโดยไม่รีรอไม่ลังเล (คือไม่มีสติพอที่จะรู้ตัวว่า เอ๊ะ เรากำลังคิดเรื่องนี้อีกแล้วนะ แล้วก็จะได้ปัดความคิดนี้ออกไปได้งี้) คือรู้สึกเมื่อไหร่ก็คิดได้ตลอด ไม่เลิกไม่จบ

    ประโยคที่สามก็คือเฉลยครับ (ซึ่งในการบรรยายทางวิชาการก็อาจจะมีคนถามว่า แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราเข้ามาอยู่ในวังวนของทฤษฎีนี้แล้ว? คำตอบของคำถามนี้ก็คือประโยคที่สองนี่แหล่ะครับ) ประโยคนี้ก็แค่เฉลยบอกว่าหากคุณรู้สึกว่าตัวเองเป็นอย่างประโยคที่สอง นั่นก็แปลว่าคุณโดนแล้วครับ

  • สุดท้ายแล้ว (จบซะที ^^') there ain't no helping, to remember one's self ตรงนี้เป็นการต่อช่วงของตอนแรกที่เคยพูดว่า มันไม่มีวิธีช่วยนะ ตัวใครตัวมัน จำได้ใช่มั้ยครับ ตรงนี้ต่อช่วงว่า มันไม่มีวิธีแก้นะ ตัวใครตัวมัน เธอต้องจำทฤษฎีนี้ไว้ แล้วเทียบกันตัวเองดูว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ตรงระดับไหนแล้วในทฤษฎีนี้ ใกล้จะพ้นทุกข์แล้วรึยัง ประมาณนี้ครับ :)


ทฤษฎีความสัมพันธ์โลกใบเล็กหกระดับองศานี้ (ผมตั้งเองประชดชื่อที่มันเยอะจัดน่ะครับ ^^') มีประวัติความเป็นมายาวนานมากแล้วครับตั้งแต่ก่อนยุคสงครามโลกซะอีก เริ่มจากนักเขียนคนนึกมโนขึ้นมาในนิยายของเค้าว่าคนไม่รู้จักกันสองคนอยู่ห่างกันไม่เกินขอบเขตของคนรู้จักกันห้าคนครับ แล้วหลายปีต่อมามีอาจารย์ในมหาวิทยาลัยทำการทดลองด้วยการส่งจดหมายกระดาษ (สมัยนั้นยังโบราณอยู่) ซึ่งผลสรุปอยู่ที่ 6 คนครับ และผลสรุปนี้เป็นแชมป์อยู่หลายปีจนกระทั่งได้ชื่อนี้ว่า six degree of separation คำว่า separation ตรงนี้ในชื่อทฤษฎีนี้เลยไม่ได้แปลว่าแยกจากกันครับ แต่มันสื่อความรู้สึกประมาณว่าไม่เกี่ยวกันครับ คนที่จะเกี่ยวข้องกันที่สัมพันธ์กันกับคนที่ไม่เกี่ยวข้องกันหกคน ต่อมายุค email ก็มีคนพิสูจน์อีกครับ ซึ่งก็ได้ค่าเฉลี่ยประมาณใกล้เคียงกัน ขยับมาเป็น 5.กว่าๆ แต่พอถึงยุคนี้ครับ facebook ทำให้ตัวเลขนี้มันหดลงอีกแล้ว เหลือประมาณ 4.กว่าๆเท่านั้นเอง หากสนใจทฤษฎีนี้ก็ลองค้นกูเกิ้ลเพิ่มเติมได้ครับมีคนเขียนถึงพอสมควรทีเดียว

ผมพยายามจะหา cover ที่ทำออกมาดีฟังนะครับ เพราะเพลงต้นฉบับทำออกมาดีทีเดียว น่าจะมี alternate version ดีๆให้ดูบ้าง แต่ปรากฏว่าไม่มีครับ (ไม่ผ่านเกณฑ์ความชอบขของผม ^^') เพลงนี้ออกมาก็หลายปีแล้ว ผมมันเชยซะขนาดนี้เพราะเพิ่งรู้จักเอง ยังไงก็ enjoy the music ครับ :)




<< เพลงที่แล้ว : Take My Heart Back - Jennifer Love Hewitt See you again : Wiz Khalifa : เพลงถัดไป >>



Create Date : 03 เมษายน 2558
Last Update : 9 เมษายน 2558 17:55:50 น.
Counter : 14042 Pageviews.

16 comments
  
สวัสดีค่า ^^
มาฟังเพลงอีกแล้ว ทฤษฏีความอกหักหกระดับ
เก๋มากเลยค่ะ เพลงเพราะนะคะเพิ่งเคยได้ฟังครั้งแรกนี่แหละค่ะ

ได้ความรู้เรื่องการแปล และศัพท์ด้วยค่ะ
ละเอียดมากๆเลย
ชอบมาก ขอบคุณมากๆนะคะ



โดย: lovereason วันที่: 3 เมษายน 2558 เวลา:21:16:36 น.
  
เพลงเท่ดีค่ะ แต่ทฤษฎีนี้มันโหดร้ายจริงๆเลย T^T

ตอนนี้นิคกำลังหาวๆอยู่ค่ะ เลยอ่านไปคร่าวๆก่อนนะ ^^
เรื่องยากๆต้องขอมาย่อยใหม่

แต่พี่ต้นน่ะ ยุ่งๆเหนื่อยๆ ก็พักผ่อนด้วยนะคะ
เดี๋ยวจะป่วยไปอีก
ยิ้มๆ น๊าา.. :)


โดย: ที่เห็นและเป็นมา วันที่: 3 เมษายน 2558 เวลา:23:46:11 น.
  
โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 4 เมษายน 2558 เวลา:13:56:35 น.
  
แหม่ มันไม่หักบ่อยจนเห็นระดับความต่างหรอกมั้ง ตัวเอง

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
ร่มไม้เย็น Dharma Blog ดู Blog
Close To Heaven Food Blog ดู Blog
Karz Music Blog ดู Blog

ไว้มาคุยใหม่ เน็ตที่นี่ช้าาาาา

โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 5 เมษายน 2558 เวลา:21:58:45 น.
  
สวัสดีค่ะ คุณต้น ^^

หกระดับน่าจะเยอะไปนะคะ ซักสามระดับน่าจะพอ
ในชีวิตก็อกหักมาตลอดนะ ฮาาาาาาา
ระดับหนึ่งคือคะแนนต่ำสุด สมัยสาว ๆ ก็น่าจะระดับนี้ถี่ ๆ ค่ะ
เคยอกหักระดับกลางครั้งเดียว ฮี่ ๆ

==========================

บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
กะว่าก๋า Dharma Blog ดู Blog
สายหมอกและก้อนเมฆ Photo Blog ดู Blog
ดอยสะเก็ด Literature Blog ดู Blog
คนบ้านป่า Home & Garden Blog ดู Blog
Karz Music Blog ดู Blog
โดย: ปรัซซี่ วันที่: 6 เมษายน 2558 เวลา:16:03:17 น.
  
ไม่แน่ใจว่ามีสถานที่ของพระนเรศวรในโคราชหรือเปล่าค่ะ
โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 7 เมษายน 2558 เวลา:10:40:50 น.
  
อ่านแล้วรู้สึกโดน คนแต่งเพลงเก่งจังแฮะ

วันนี้โหวตเต็มแล้ว พรุ่งนี้มาโหวตให้นะคะ
โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 7 เมษายน 2558 เวลา:12:58:51 น.
  
โหวตค่า
โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 8 เมษายน 2558 เวลา:8:30:56 น.
  
มาส่งกำลังใจพร้อมกับกล่าวราตรีสวัสดิ์ด้วยค่ะ
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
กาปอมซ่า Literature Blog ดู Blog
newyorknurse Klaibann Blog ดู Blog
haiku Fanclub Blog ดู Blog
Karz Music Blog ดู Blog
โดย: เนินน้ำ วันที่: 9 เมษายน 2558 เวลา:1:15:59 น.
  
ขอบคุณค่ะ ชอบเพลงนี้มากเลย
โดย: มะลิ IP: 101.108.104.98 วันที่: 20 มิถุนายน 2559 เวลา:0:16:12 น.
  
อธิบายดีมากเลยอะ
โดย: AHam IP: 49.49.240.54 วันที่: 7 กันยายน 2559 เวลา:19:35:36 น.
  
แปลได้ยอดเยี่ยมมากค่ะ ชอบบบ
โดย: PS. IP: 61.90.27.167 วันที่: 9 ธันวาคม 2559 เวลา:21:04:59 น.
  
แปลได้ยอดเยี่ยมมากค่ะ ชอบบบ
โดย: PS. IP: 183.89.91.192 วันที่: 9 ธันวาคม 2559 เวลา:21:13:23 น.
  
ภาษาการแปลของคุณดีมากเลยคะ
สวยงามเข้าใจง่าย รู้สึกชอบมากๆเลย =)
โดย: w IP: 1.46.200.26 วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา:7:43:49 น.
  
แปลได้ยอดเยี่ยมมากค่ะ
โดย: Christie IP: 49.229.58.240 วันที่: 13 มีนาคม 2560 เวลา:8:30:27 น.
  
เดินคนล่ะทางเหอะ คุณเข้าใจถึงคำว่ารักในนิรันดิ์หรือไม่ แต่ล่ะครั่งกว่าจะผ่านมาได้ใจมันก็เหมือนโดนไฟไม้ ไม้จนกว่าใจของคุณจะไม่มีอารมใดๆทั้งนั้น
โดย: แล้วแต่จะแปลนะ IP: 223.204.240.23 วันที่: 22 กรกฎาคม 2561 เวลา:21:03:59 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Karz
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 126 คน [?]





สงวนลิขสิทธิ์
เมษายน 2558

 
 
 
1
2
4
5
6
7
8
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
28
29
30
 
 
All Blog