|
|||||||||
แปลเพลง - Father And Son - Guardians of The Galaxy 2 OST - ชีวิตเราเป็นของใคร? ชีวิตใครเป็นของเรา? มันจำเป็นต้องยากเบอร์ไหนครับ เพื่อให้คนสองคนที่รักกันเข้าใจกัน?
อรรถาธิบายเพลงนี้เป็นฉากสนทนาสั้นๆของพ่อกับลูกชายครับ ลูกทนไม่ไหวที่พ่อไม่เข้าใจและไม่สนใจจะฟังเหตุผลคำอธิบายดังนั้นตัดสินใจว่าจากไป ในขณะที่พ่อก็ไม่เข้าใจว่าทำไมลูกถึงต้องไป สิ่งที่พ่อสอนพ่อบอกมันก็เป็นเรื่องที่ดีนี่นา ดูชีวิตพ่อสิ มันก็แฮปปี้นี่นา เพลงนี้ผู้ร้องใช้เทคนิคที่แบ่งการสนทนาออกเป็นสำหรับคนสองคนครับ ช่วงที่พ่อพูดจะสังเกตได้ว่าน้ำเสียงจะนุ่มช้าและสุภาพ สไตล์การพูด (ร้อง) สังเกตออกง่ายๆว่าเป็นการสอนการเตือนสติ บางช่วงคล้ายจะขอความเห็นใจด้วยซ้ำ (ช่วงท้ายๆ) ส่วนช่วงการสนทนาของลูกชายนั้นเค้าจะร้องด้วยเสียงสูงและใส่พลังเข้ามาเพิ่มอีกหน่อยซึ่งเราจะสังเกตได้ว่ามันเป็นการระบายอารมณ์ที่อัดอั้นตันใจครับ ที่จัดว่าเด็ดก็คือช่วงท้ายๆเพลงที่มีคอรัสมาช่วยร้องนั้นทำให้ได้อารมณ์พ่อกับลูกเถียงกันจนการแปลต้องแยกบรรทัดไว้เพื่อความชัดเจนและเมื่ออ่านแยกกันแล้วก็สามารถดราม่าได้อีกครับ :)
มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนะครับที่เราจะยึดติดกับแนวความคิดในแบบที่เราคิดเพราะมันเป็นธรรมชาติที่เป็นไปโดยอัตโนมัติ นั่นก็เพราะมันได้รับการพิสูจน์จากเรามาแล้วว่ามันเวิร์กสำหรับเราครับ มันเป็นประสบการณ์ตรงและนั่นคือบทสรุปที่เราได้ทำการสรุปไปเมื่อนานมาแล้ว มันคือ "น้ำร้อน" ที่เราได้ "เคยอาบมาก่อนแล้ว" แต่เนื่องจากโลก สถานการณ์ สิ่งแวดล้อม กรอบความคิด (ไม่ว่าจะทั้ง context, paradigm และ perception) ทั้งของเราและของสังคมมันไม่ได้หยุดนิ่งซึ่งมันเปลี่ยนตามยุคตาม generation แล้วเราจะมั่นใจได้ยังไงครับว่าสิ่งที่เราเคยคิดว่าดีใน generation ก่อนมันยังจะดีได้ต่อไปใน generation นี้? "น้ำร้อน" อ่างนี้จะยังคง "ดีพอ" สำหรับ "คนที่เรากำลังปกป้อง" ในสถานการณ์ เวลา และกับบุคคลใหม่? แน่นอนว่าสิ่งดีๆบางสิ่งจะยังคงดีและคงทนข้าม generation ต่อไปได้ แต่แนวความคิดบางสิ่งบางอย่างที่มันไปต่อไม่ได้แล้วนั้น เราจะรู้ทันมันได้ทันรึเปล่าครับว่าเราต้องปล่อยมันไปได้แล้วเช่นกัน? น่าสลดใจนะครับหากเราได้เห็นคนสองคนที่รักกันมากๆและไม่เข้าใจกันสุดๆต่างต้องแยกย้ายจากกันไปด้วยความเจ็บปวด มันจำเป็นจะต้องทำให้ยากขนาดไหนกันเหรอครับเพื่อที่เราจะสามารถฟังและเข้าใจกันได้? ในทางจิตวิทยานั้นมีคำพูดอยู่วลีนึงที่พวกเราเหล่านักบำบัดเข้าใจอย่างลึกซึ้งและใช้มันอย่างสม่ำเสมอว่า "อย่าไปขโมยประสบการณ์ของใคร" เพราะบางครั้งการ "ปกป้อง" ของเรานั้นเป็นการ "ขโมยประสบการณ์" ของคนที่เรากำลังปกป้องอยู่ และนั่นทำให้ประสบการณ์ที่คนๆนั้น "สมควรได้รับในฐานะและบทบาทของคนคนนั้น" ถูกข้ามผ่านเลยไปอย่างน่าเสียดาย
Enjoy Thinking krub.
ขอบคุณค่ะ
โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 14 พฤษภาคม 2562 เวลา:13:21:54 น.
เพลงเพราะจับใจ
โดย: โด้ IP: 223.24.166.173 วันที่: 20 เมษายน 2563 เวลา:2:17:07 น.
|
Karz
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 126 คน [?] สงวนลิขสิทธิ์ Group Blog All Blog
|
||||||||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |