สะเดา-น้ำปลาหวาน พร้อมปลาดุกและกุ้งย่าง
สรรพคุณความขมในสะเดา
โบราณว่า "หวานเป็นลม ขมเป็นยา" ของขม ๆ แม้จะไม่อร่อยแต่ก็มีประโยชน์ไม่น้อย อย่างเช่น "สะเดา" ผักสมุนไพรแม้จะมีรสขมขนาดใด แต่ก็เป็นของโปรดของใครหลายคน โดยเฉพาะเมนูสะเดาน้ำปลาหวาน หากกินกับปลาดุกย่าง หรือกุ้งนางเผา ที่เมื่อกินพร้อมกันแล้วจะลดความขมของสะเดาลงเหลือแต่ความอร่อย บางคนทานแบบไม่ลวก ทานสด ๆ หรือบางบ้านอาจนำสะเดาไปลวกเพื่อลดความขมจิ้มกินกับน้ำพริกอีกด้วย
เรานิยมนำดอกและยอดสะเดามาประกอบอาหารซึ่งให้คุณค่าทางโภชนาการเช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เส้นใย เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี และไนอาซิน สรรพคุณด้านยาสมุนไพรนั้น สะเดามีสรรพคุณบำรุงธาตุไฟ สร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย และแก้ไข้อีกด้วย อีกทั้งรสขมของสะเดายังช่วยเรียกน้ำย่อยและช่วยขับน้ำดีลงสู่ลำไส้ ทำให้ร่างกายเกิดความอยากอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ช่วยให้อุจจาระละเอียด ระบบขับถ่ายคล่อง และช่วยให้นอนหลับสบายอีกด้วย
สะเดายังมีประโยชน์ในด้านอื่น เป็นสารธรรมชาติที่ใช้กำจัดแมลงศัตรูพืชอย่างได้ผล คนโบราณยังเชื่อว่า สะเดาเป็นไม้มงคล นิยมปลูกทางทิศตะวันตกเฉียงใต้โดยเชื่อกันว่าจะป้องกันโรคร้ายต่าง ๆ และภูติผีปีศาจ
ที่บ้านฉันมักมียอดสะเดาทานตลอดปี มิได้ปลูกเอง แต่เมื่อถึงฤดูกาลของมัน ฉันจะซื้อมาครั้งละมาก ๆ แล้วจะทำวิธีเก็บถนอมอาหารโดยลวกน้ำร้อน ผึ่งให้แห้งแล้วแบ่งใส่ถุงซิปล๊อกจับเรียงใส่ช่องแช่แข็ง แม้มิใช่ฤดูกาลของมันแต่บ้านเราก็มีสะเดากินตลอดปี วันใดนึกอยากกินก็ไปเอาออกจากช่องแช่แข็ง โดยนำมาลวกน้ำร้อนนิดหน่อย เพียงเท่านี้เราก็ได้เมนูเด็ดที่ทำให้กินข้าวกันแบบไม่เกรงใจหม้อหุงข้าว
หมายเหตุ - ฉันมีความรู้สึกว่าหากไม่ใช่ฤดูกาลของมัน ดูเหมือนนอกฤดูกาลกินสะเดาได้เอร็ดอร่อย แต่พอถึงฤดูกาล มีเยอะเกินจนไม่นึกอยาก ... สรุป กินสะเดานอกฤดูกาลได้อรรครสกว่าเยอะ
จานนี้เป็นสะเดาหวานมันจากเพชรบูรณ์ จัดเป็นสะเดาที่ไม่มีรสขม หวานเหมือนมะขามหวานเพชรบูรณ์ ฉันว่าถ้าจะกินสะเดาก็ต้องมีรสขมนิด ๆ หากสะเดาจืด เหมือนกินน้ำปลาหวานกับผักหวาน ประมาณนั้น
หากจะกินกันแบบอลังการงานสร้าง มันต้องสะเดาน้ำปลาหวานกับกุ้งเผา ถือเป็นของคู่กันแบบสุดยอด
อันตัวเราไม่ปลื้มกุ้งเผา ไม่ปลื้มมันที่จุกตรงหัวกุ้ง จำต้องก้มหน้ากินสะเดาน้ำปลาหวานกับปลาดุกย่างกันไป
ก่อนจะเปิบเมนูนี้ด้วยช้อนหรือจะเปิบด้วยมือก็ตาม มาดูวิธีทำน้ำปลาหวานในแบบของฉันกันก่อน
ส่วนผสมประมาณการ ใช้วิธีกะ ๆ เอา ชิมก่อนแล้วเพิ่มเติมรสชาดตามชอบ รสชาดของน้ำปลาหวาน คือ ชิมให้ออกรสหวาน ๆ เปรี้ยว ๆ เปรี้ยวนำหวาน บางคนชอบหวานนำเปรี้ยว เอาเป็นว่าชอบรสใดก็ว่ากันไป
ส่วนน้ำปลาหวาน น้ำตาลปีบ 2 ถ้วย น้ำปลา 1 ถ้วย น้ำมะขามเปียก 100 กรัม (ขึ้นกับความเปรี้ยวของมะขาม) น้ำเปล่า 3-4 ช้อนโต๊ะ (น้ำเปล่าจะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)
วิธีทำ ผสมน้ำตาลปี๊บ น้ำปลา น้ำมะขามเปียกเข้าด้วยกัน ตั้งไฟเคี่ยวจนได้ความเหนียวปานกลาง แล้วยกลง ชิมให้ออกรสหวาน ๆ เปรี้ยวๆ เค็มติดปลายลิ้น (น้ำปลาหวานไม่เน้นเค็ม)
เวลาทานโรยหอมเจียว ถ้าชอบผักชีก็โรยหน้าไปด้วย โรยกระเทียมเจียว ทานกับพริกขี้หนูทอด พี่สาวบ่งบ๊งไม่ชอบทานของกรอบ ๆ จึงต้องทำแบบนี้ให้เค้า คือจับของทอดทั้งหมดใส่ไปให้นิ่ม ๆ หมายเหตุ - แบบโบราณอีกอย่างคือใส่หอมแดง(สด)ซอย ใส่พริกขี้หนูสวนหั่นซอยละเอียด
บ้านฉันต้องโรยหอมเจียวนิดหน่อยให้สวยงาม นอกนั้นแยกไว้ ใส่ตอนจะทาน
คนโบราณทานสะเดา-น้ำปลาหวานกับกุ้งเผา กุ้งแม่น้ำเผา ถือเป็นของคู่กัน เข้ากันได้เป็นอย่างดี เขาช่างคิด เนอะ
สะเดา น้ำปลาหวาน ปลาดุกย่าง
สะเดา น้ำปลาหวาน ปลาทู(ย่าง) อร่อยไม่แพ้กัน
ตอนที่ยังกินสะเดาไม่เป็น ผักชีล้วน ๆ ฟินมาก
คนโบราณช่างคิดเป็นที่สุด จับโน่นมากินกับนี่ ล้วนแล้วแต่เข้ากันได้แบบลงตัวเป๊ะ ๆ สุดยอด เช่น หอยนางรมกินกับผักกระถินและหอมเจียว .. น้ำปลาหวานสะเดากินกับกุ้งเผา/ปลาดุกย่าง แถมยังมีหอมเจียว กระเทียมเจียว มีพริกขี้หนูแห้งทอดแกล้มตัดความเลี่ยนอีกด้วย แจ๋วมาก ๆ
ยังติดสงสัย ก็แล้วทำไมน้ำปลาหวานต้องกินกับสะเดาและผักชี ปลาก็ต้องปลาดุกย่าง และกุ้งเผา หากเป็นผักอื่น ๆ มันคงจะไม่เข้ากันอ่ะน๊ะ เฮ้ออออ คิดมาก คิดไม่ตก คนโบราณเค้าคิดได้ไงเนี่ย
ไม่ค่อยอยากทำสำรับนี้ ทำแล้วแถมข้าวไม่เลิก กับข้าวอย่างอื่นไม่สนใจเลย
เป็นสำรับเมนูอาหารไทยที่อร่อย เข้ากันได้แบบลงตัว เยี่ยมมา สุดยอดดดด ... ขอบอก
เพิ่งจะทานสะเดาเป็นเมื่อไม่นานนี้เอง เมื่อได้รู้และศึกษาเรื่องราวของธาตุเจ้าเรือนในร่างกายแล้ว สำหรับเราคนธาตุไฟ เค้าแนะนำให้กินของขม ๆ กินของที่ทำให้ร่างกายเย็น อย่าเช่น มะระ สะเดา แรก ๆ รู้สึกขมทั้งมะระ และสะเดา ฝืนกินไปก็เริ่มชิน นึกถึงที่ว่าหวานเป็นลมขมเป็นยา มันก็อร่อยดี
สะเดามันจะไม่ขม แถมดอกก็มันด้วย ใส่ผักชีไปด้วย สองรสชาติ เข้ากันดีจริง ๆ
น้ำปลาหวาน-สะเดา ทานกับปลาดุกฟู ๆ ไปกันได้อีก เด็ดนักแล
Create Date : 29 มิถุนายน 2553 |
|
11 comments |
Last Update : 8 เมษายน 2560 18:15:54 น. |
Counter : 43464 Pageviews. |
|
|
|
เดี๋ยวนี้ใบสะเดาสด ๆ ยังเด็ดยอดชิมเลยค่ะ ไม่รู้อร่อยตรงไหนนะคะ