การเรียนรู้ภายในตนเองของคนเป็นพ่อแม่
บล็อกนี้เป็นการย่อความจากที่ดิฉันรับอาสาแปลบทความของอาจารย์ Signe Eklund Schaeferให้กับเพื่อน ๆ ร่วมคลาสอีกทีค่ะ ต้นฉบับนั้นมี 19 หน้า แต่ดิฉันขออนุญาตดึงมาเฉพาะตัวแบบฝึกหัดหกหัวข้อ ที่อาจารย์รวบรวมมาจากคำแนะนำของรูดอล์ฟ สไตเนอร์(ผู้ก่อตั้งการศึกษาวอลดอร์ฟ) รวมกับประสบการณ์การเป็นแม่ของเธอเอง เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาภายในตน โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ทำหน้าที่พ่อแม่ค่ะ อาจารย์บอกว่าผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลฟูมฟักลูกนั้นได้ฝึกฝนในเรื่องราวเหล่านี้อยู่แล้วโดยไม่รู้ตัว เพียงแต่ไร้ระเบียบแบบแผนเท่านั้น หากเราทำให้เป็นกิจวัตร เป็นระเบียบแบบแผน พลังที่เกิดขึ้นจะมากมาย และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งค่ะ (ขอขอบคุณอาจารย์ Signe Eklund Schaefer มา ณ ที่นี้ค่ะ)
เรามาลองดูวิธีฝึกกันเลยนะคะ
1. ฝึกความคิด
เป็นการยากสำหรับผู้คนในยุคสมัยใหม่ ที่จะพุ่งความสนใจไปที่ความคิดใดความคิดหนึ่ง เรารู้สึกฟุ้งซ่านแตกกระจาย ไม่รวมศูนย์และสับสน ชีวิตสมัยใหม่เต็มไปด้วยความซับซ้อน ความคิดซ้ำ ๆ ได้ถูกยืมมาจากสื่ออย่างไร้สติ แล้วเข้าสู่ภายในของเรา และเข้าสู่การสนทนาของเรากับผู้อื่นอย่างไร้ทิศทาง
แบบฝึกหัดแรกของสไตเนอร์ช่วยให้เรารวมศูนย์ความคิดมากขึ้น จุดมุ่งหมายของแบบฝึกหัดคือพัฒนาการที่มีเป้าหมาย เพิ่มความแข็งแรงภายในตัวเรา และช่วยให้เราเข้าสู่ขบวนการทางความคิดอย่างเอาใจใส่ เราทำได้โดยเลือกวัตถุธรรมดา ๆ ที่เราใช้ในชีวิตประจำวันมาชิ้นหนึ่ง(ถ้วย กระดุม ที่หนีบกระดาษ หรือเข็มฯ เป็นต้น) และพุ่งความสนใจไปที่มันโดยใช้ความคิดที่เกี่ยวกับตัวมัน เราอาจเริ่มโดยคิดถึงรูปร่างและสีของมัน ความตรง ความโค้ง หรือผิวสัมผัสของมัน เราจะไม่เข้าไปในห้วงคำนึงที่เกี่ยวกับมัน เพียงแต่พยายามที่จะคิดถึงแต่สิ่งที่มันแสดงออกมาเท่านั้น เราพิจารณาแต่ความจริงที่เราเห็นในหลายลักษณะของวัตถุ(รูปแบบ, วิธีการผลิต, หน้าที่การใช้งานฯ เป็นต้น)
การฝึกนี้เราไม่ได้นำวัตถุจริง ๆ มาตั้งอยู่ตรงหน้า แต่ให้อยู่ในความคิด และ่จะง่ายขึ้นถ้าเราปิดตาคิด เรากำลังพยายามที่จะเพิ่มความเข้มแข็งภายในและเพื่อที่จะค่อยๆ ปลดปล่อยความผูกพันกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นบนโลก เราใช้วัตถุที่มนุษย์ทำขึ้น เพราะมันง่ายต่อการทราบที่มาที่ไปของการสร้างสรรค์วัตถุนั้น ๆ และเราใช้วัตถุที่แสนจะธรรมดา เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกกระตุ้นด้วยความพิเศษของมัน สไตเนอร์ยังแนะนำว่าเราควรจะใช้วัตถุเดียวกันเป็นเวลาหลายวัน และเราควรคิดถึงมันใหม่ทุกครั้ง ไม่ใช้ความคิดเดิมในวันก่อน ๆ แต่ในความจริงเราอาจคิดถึงคุณสมบัติเดิมของมันได้ แต่ต้องเป็นการคิดใหม่ ไม่ใช่การรำลึกเอา
ความลำบากในการฝึกจะปรากฎขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะการใช้การจดจ่อต่อวัตถุชิ้นหนึ่งเป็นเวลาห้านาทีนั้น ต้องใช้การตื่นรู้ที่แท้จริง
สำหรับพ่อแม่แล้วนี่ก็เป็นแบบฝึกหัดที่มีประโยชน์ ในการใช้ความพยายามในการแยกแยะสิ่งที่จำเป็นออกจากสิ่งที่ไม่จำเป็น และทำให้เราเชื่อในความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ในแต่ละวันได้ดีขึ้น เรามักจะได้รับคำแนะนำที่มากมายในการเป็นพ่อแม่ที่ดี จนเราเริ่มที่จะสงสัยว่าจริง ๆ ลูกเราต้องการอะไรกันแน่ การฝึกแบบนี้ไปช่วงระยะหนึ่งจะช่วยให้ความคิดเราสดใหม่ขึ้น และสร้างความมั่นใจในความสามารถที่จะเห็นความเป็นจริง มันยังช่วยให้เรามองทะลุความคิดแบบเหมารวม ที่เกิดขึ้นในวัฒนธรรมของเรา
2. ฝึกเจตน์จำนง
กี่ครั้งที่เราคิดจะทำอะไร แต่ต้องมาจบด้วยการทำสิ่งอื่นที่ไม่ได้วางแผนไว้ เรามักจะตอบสนองต่อสิ่งที่เราต้องทำ แต่ไม่สามารถทำตามจุดมุ่งหมายที่เกิดภายในตัวเรา ในการฝึกเพื่อที่จะมีพลังเจตน์จำนงนั้น สไตเนอร์ยังแนะนำอีกว่า ในการฝึกเราต้องทำสิ่งที่ไม่มีความจำเป็นต้องทำ(การผูกเชือกรองเท้าใหม่ การเกาหู มองออกนอกหน้าต่าง) ภายในเวลาที่กำหนดไว้แน่นอนในแต่ละวัน และจะต้องฝึกซ้ำเป็นเวลาหลายวัน การกระทำเล็กน้อยที่ถูกเลือกใช้ในการฝึก เพื่อว่าเราจะเป็นตัวกำหนดการกระทำนั้นเองเป็นสำคัญ เช่นการให้อาหารสุนัขใช้ไม่ได้กับการฝึกนี้ เพราะสุนัขต้องการอาหาร และบางสิ่งที่สำคัญในตัวกิจกรรมที่เราฝึกจะดึงเราเข้าหามัน ไม่ได้มาจากตัวของเรา
สำหรับพ่อแม่แล้ว การฝึกนี้มีประโยชน์มาก เพื่อที่จะรวมศูนย์ในเจตน์จำนงของเรา และปล่อยวางความรู้สึกว่าเรามีเป้าหมายที่สำคัญกว่านี้ในการปฏิบัติ เพราะนี่เป็นการกระทำในสิ่งที่เล็กน้อยแต่เพิ่มพลังเจตน์จำนง เพื่อนำออกมาใช้เวลาที่เราจำเป็นต้องใช้มัน
3. ฝึกตรวจสอบความรู้สึก
ท่ามกลางความรู้สึกที่บีบคั้น เรามักจะเสียศูนย์ และสงสัยว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมา ทำไมเราต้องมีความรู้สึก “โกรธอย่างไม่ลืมหูลืมตา” หรือ “กลัวอย่างมาก” หรือ “จมจ่อมอยู่กับความเศร้า” หากเราสามารถรวมศูนย์ในช่วงขณะที่มีความรู้สึกที่แท้จริง และแสดงความรู้สึกอย่างถูกต้อง ประสบการณ์ของเราก็จะเพิ่มพูน
เราฝึกได้โดยทบทวนความรู้สึกในตอนสิ้นวัน ว่าฉันอยู่ที่ใดในความรู้สึก อะไรทำให้ฉํนเสียศูนย์ เมื่อใดที่ฉันรู้สึกว่ามีสิ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้นภายในตน มีช่วงเวลาที่ฉันรู้สึกไม่จริงใจไหม, หรือไม่มีความรู้สึกเลย, พลุ่งพล่านหรือโง่เขลา, เมื่อใดที่ฉันรู้สึกได้อย่างแท้จริง, เมื่อใดที่ฉันรู้สึกไม่ถูกต้องในการแสดงออกของความรู้สึก, มีไหมที่การแสดงออกของความรู้สึก นำมาซึ่งผลที่ไม่ตรงกับความตั้งใจไว้
จุดมุ่งหมายของการฝึกนี้อยู่ที่ การนำความรู้สึกแบบมีสติเข้าสู่เวลา ณ ปัจจุบัน เมื่อเราทบทวนเรามักจะตระหนักได้ว่า เราก้าวออกมาจากการแสดงออกทางความรู้สึกที่ถูกที่ควร ณ จุดใด ความเอาใจใส่สามารถค่อย ๆ ปลุกเราขณะที่เราจะลื่นไถลออกไป และเราก็จะมีทางเลือกที่จะรวมศูนย์มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นเราหยุดความรู้สึกก่อนที่จะรู้สึกโกรธ เมื่อลูกของเราไม่เก็บของเล่นเข้าที่ตามที่เราร้องขอ เรารู้ได้จากประสบการณ์ครั้งก่อน ๆ ว่าการโกรธจะนำมาซึ่งน้ำตา ความรู้สึกผิด ในขณะที่ของเล่นก็ยังกระจายเต็มพื้น ถ้าเราสามารถรวมศูนย์ได้ เราจะตระหนักถึงความรำคาญใจ ความเหนื่อย และรู้ว่าการแสดงออกทางความรู้สึกเหล่านี้กับลูกของเรานั้นไม่มีประโยชน์เลย
4. ฝึกมองโลกในแง่บวก
คือการมองหาสิ่งที่ดีหรือถูกต้องหรือสวยงาม แม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เราอยู่ในยุคสมัยของการทำเพื่อตนเอง เราถูกสอนตั้งแต่เล็กให้หา “สิ่งที่ผิดในรูปภาพนี้” เราได้รับการชื่นชมจากการจับผิดผู้อื่น จับผิดความสัมพันธ์ จับผิดธรรมชาติหรือปรากฎการณ์ทางสังคม
กี่ครั้งที่เราเผลอเรียกร้องคู่ของเรา คุณครูของลูกเรา เมืองของเรา หรือสภาพอากาศ แม้แต่กับคนที่เรามีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นด้วย เรายังสามารถที่จะกล่าวถึงจุดด้อยของของเขาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า แบบฝึกหัดนี้จึงทำให้เราได้ขยายความคิด และชี้แนะความรู้สึกของเราให้ค้นหาจุดดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าให้เราเพิกเฉยต่อความเลว ความน่าเกลียด หรือสิ่งที่ต้องการการปรับปรุง เพียงแค่ขอให้เรามองเห็นสิ่งดีบ้าง
เหมือนกับแบบฝึกหัดที่แล้ว คือเราสามารถที่จะรู้ได้ว่าเรามองโลกในแง่บวกเพียงใด ด้วยการทบทวนในแต่ละวันของเรา ว่าเราได้ฝึกฝนตรงจุดใด จุดใดที่เรามองข้าม ทำให้เราเพิ่มความสามารถในการตัดสินที่ถูกต้องและรับผิดชอบ
อีกทางหนึ่งที่จะฝึกฝนแบบฝึกหัดนี้คือพยายามคิดถึงข้อดีของสิ่งทีทำให้เราระคายเคืองเช่น มลพิษ หรือปัญหาในที่ทำงาน
การฝึกมองโลกในแง่ดียังช่วยให้เรายอมรับความเป็นตัวตนของลูกเรา้ บ่อยครั้งที่เราตกใจกับสิ่งที่เขาเลือก และสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้ลูกของเราคบเพื่อนแบบนั้น ทำไมรสนิยมในการฟังเพลง หรือการอ่านของลูกเราถึงเป็นแบบนั้น หากเรามองลึกลงไปกว่านั้น และชื่นชมเขาแทนกับความริเริ่มของเขา ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นของเขา หรือชื่นชมว่าอย่างน้อยเขาก็รักการอ่าน ความสามารถในการเข้าใจของเรานั้นเติบโต และยามจำเป็นก็จะนำมาซึ่งกำลังที่สมดุลย์ที่มีประโยชน์ และขยายความใส่ใจให้อยู่เหนือประสบการณ์ทางลบ และรวมสิ่งที่ดีไว้ด้วย
5. การฝึกเปิดใจให้กว้าง
การฝึกเป็นคนเปิดกว้างและยอมรับประสบการณ์ใหม่ ๆ จอห์น เดวี่ เรียกแบบฝึกหัดนี้ว่า“ความพร้อมที่จะเรียนรู้” โลกเปิดโอกาสในการเติบโตของการมีสติของเราอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่เราพร้อมไหมที่จะเรียนรู้ เราเปิดกว้างกับความประทับใจใหม่ ๆ ไหม
เราสามารถจะคุ้นเคยกับการทำแบบฝึกหัดนี้ โดยการตั้งคำถามกับตัวเองตอนที่เราทบทวนแต่ละวัน : เราปิดตัวเราเองบ้างไหมวันนี้ เราจะเข้าใกล้คำว่าทำไมได้ไหม เป็นเพราะนิสัย ความกลัว หรือไม่รู้ตัว แล้วฉันได้เปิดรับสิ่งใหม่บ้างไหม อะไรเป็นตัวกระตุ้น ความประหลาดใจ การรบเร้าจากคนอื่น หรือมันมาจากภายในตัวฉํนเอง
แบบฝึกหัดนี้ต้องการให้เรามองหาโอกาสในแต่ละวัน เพื่อที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ความคิดใหม่ ความสามารถแบบใหม่ ความประทับใจจากผู้อื่นหรือจากโลกครั้งใหม่ ธรรมชาติให้โอกาสแบบไม่มีที่สิ้นสุดให้เราพบสิ่งใหม่ เพื่อที่จะปลดปล่อยเราออกจากกล่องความรู้เดิม ๆ หากเราขยายการรับรู้ เราจะพบความมหัศจรรย์มากมายอยู่ในดอกไม้ทุกดอก ในแอ่งน้ำเหนือก้อนหินทั้งหลาย ในใบไม้ที่กำลังร่วง การเป็นพ่อแม่นั้น เราได้รับของขวัญจากหัวใจที่เปิดกว้างสู่โลกของลูก ๆ ที่จะพาเราออกค้นหาไปพร้อมกัน พวกเขานำมาซึ่งสิ่งมหัศจรรย์และภาพที่สดใหม่โดยธรรมชาติ ถ้าเราเปิดรับและใส่ใจอย่างมีสติต่อสิ่งที่พวกเขานำเราไป เราจะได้รับโอกาสที่จะเติบโตอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
6. ฝึกทำให้ทุกแบบฝึกหัดเกิดความกลมกลืน
คือนำแบบฝึกหัดทั้งห้าก่อนหน้านี้มารวมอยู่ในชีวิตประจำวัน ถ้าเราฝึกฝนแต่ละแบบฝึกหัดทุกวันอย่างน้อยหนึ่งเดือน และไม่ลืมที่จะทำอันเก่าเมื่อเพิ่มอันใหม่ แล้วในที่สุดเราจะพบกับความสมดุลย์ของความสามารถในรูปแบบต่าง ๆ นี้ การรวมศูนย์ในความคิด เจตน์จำนงและความรู้สึก รวมทั้งการมองโลกในแง่บวกและการเปิดใจให้กว้าง อาจารย์ได้ทำให้เราเห็นภาพชัดขึ้นโดยมองเห็นความสมดุลย์นี้เป็นภาพของดาวห้าแฉก ที่เกิดจากการเชื่อมโยงจุดห้าจุด แต่ละจุดมีความสำคัญในตัวของมันเอง และเมื่อทั้งห้าจุดมารวมกัน สิ่งใหม่ก็เกิดขึ้นในความสนใจ เริ่มฉายแสงและให้พลังแบบใหม่
เราควรที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับแก่นด้านในของเรา ให้กับความสามารถในการรับรู้ความต้องการที่แท้จริงรอบตัวเรา และความสามารถที่จะกำหนดทิศทางของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นการตั้งใจอย่างที่สุดในการพัฒนาตนของเราไม่ใช่เพื่อตัวเราเท่านั้น แต่เพื่อลูก ๆ ของเรา และนั่นเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อโลก และต่อสังคมที่มีคุณภาพในอนาคต รูดอล์ฟ สไตเนอร์กล่าวบ่อย ๆ ว่าการที่จะค้นพบตนเองได้นั้น เราจะต้องมองเข้าไปในโลก และการที่จะรู้จักโลกรอบตัวเรานั้น เราก็ต้องมองเข้าไปภายในตัวเรา
จึงถือได้ว่าเราอยู่บนเส้นทางของการพัฒนาซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง โดยความต้องการการดูแลจากเราทำให้เขาเติบโตขึ้น และความรักและความเอาใจใส่ของเราส่งเสริมให้เขาเติบโตขึ้น
"และบ่อยครั้งที่ความภาคภูมิที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในตัวลูกของเราสามารถเปิดตาเราให้เห็นในสิ่งที่มองข้ามไป ความมหัศจรรย์เกิดขึ้นพร้อมคำกระซิบว่า “ดูสิแม่” รุ้งกินน้ำในแอ่งน้ำที่มันวาว กลีบดอกไม้ที่มีสีที่เราไม่รู้ว่าเรียกว่าสีอะไร ฉันรู้สึกขอบคุณลูก ๆ ที่เปิดตาและใจของฉันในหลาย ๆ ทาง โชคดีที่ลูก ๆ ไม่ได้อยู่กับที่และเช่นเดียวกับเรา จึงเป็นสิ่งที่ทำให้เราเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ"
โดยอิงอิง เทคนิคการปั้นแปะของ Clay work ค่ะ ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ค่ะ
โดยชิงชิง (ดาวเคยกระพริบได้) ใช้การทำแอนนิเมชั่นสำเร็จรูปของเวป //www.miniclip.com ค่ะ ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ค่ะ
ขอขอบคุณ BG สวย ๆ จากเพื่อน ๆ ในบล็อกแก๊งค์ค่ะ
Create Date : 30 มีนาคม 2552 |
|
12 comments |
Last Update : 31 กรกฎาคม 2555 21:42:35 น. |
Counter : 1116 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: chinging 30 มีนาคม 2552 23:04:35 น. |
|
|
|
| |
โดย: ขวัญ IP: 118.172.26.216 1 เมษายน 2552 20:34:21 น. |
|
|
|
| |
โดย: ขวัญ IP: 118.172.53.147 3 เมษายน 2552 8:37:36 น. |
|
|
|
| |
โดย: แนน AS IP: 58.137.217.249 3 เมษายน 2552 12:58:22 น. |
|
|
|
| |
โดย: chinging 11 เมษายน 2552 21:29:43 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ขอคารวะในผลงานการแปลและเรียบเรียงเลยค่ะ...