สวัสดีเพื่อนๆทุกๆคนนะคะ ไม่พูดพร่ำทำเพลงล่ะวันนี้บ้านไกลเวลาน้อย (จะรีบไปไหนจ๊ะเธอ) อิ อิ แซวตัวเองก็ได้แฮะ อยากเขียนบล๊อก อยากไปหาเพื่อนบล๊อก บ้านนั้นบ้านนี้แต่ไม่ค่อยจะมีเวลาชิลล์กับเขาบ้างเลยค่ะ ขออภัยนะคะ

เราขอเขียนบล๊อกเที่ยวนี้ไว้เผื่อเพื่อนๆจะไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองได้เข้ามาอ่านแล้วอาจมีประโยชน์บ้าง ตัวเองก็ไม่ได้เก่งอะไรค่ะเพียงแต่อยากบอกต่อๆกันไป เล่าให้ฟังกันไปนะคะ

วันที่ 11 ก.พ 2013 พอลงเครื่องที่สนามบินชิโตเส่ะปุ๊บ  เราสองคนกับคุณสา(สามี) พอพ้นด่านตรวจคนเข้าเมืองก็เดินลิ่ว ลิ่วๆ ตามป้ายที่เขียนว่าไปขึ้น JR. เพราะต้องไปที่เคาท์เตอร์ของ JR.เพื่อซื้อตั๋วเหมา 4 วัน(เดินลงไปชั้นล่างนะคะ)ไว้สำหรับใช้ในวันถัดไปใบละ 19,500 เยนรวมทั้งยังซื้อตั๋วJR.จากสนามบินไปลงที่สถานีซัปโปโรทีเดียวได้ด้วยค่ะ (รูดบัตรเครดิตรวมกันได้เลย) และเราก็เตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางในวันต่อๆไปไว้แล้วว่าจะจองรถไฟเที่ยวไหนบ้างก็จัดการจดชื่อขบวนรถ ต้นทาง-ปลายทาง ขบวนเวลาเท่าไหร่ วันที่เท่าไหร่ เป็นภาษาอังกฤษให้กับพนักงานแป๊บเดียวก็เสร็จค่ะ ไม่ต้องยุ่งยากสื่อภาษากันมากนัก ทั้งๆที่จริงแล้วพนักงานบริการของหลายๆภาคส่วนของที่นี่ก็ยิ้มแย้มและบริการดีมากๆค่ะ

จุดประสงค์ของการมาฮอกไกโดครั้งนี้คือต้องการมาเดินเที่ยวงานเทศกาลหิมะที่ฮอกไกโดนี้สักครั้งค่ะ เคยมาในหน้าร้อนแล้วอยากจะสัมผัสบรรยากาศในหน้าหนาวอุณหภูมิติดลบดูบ้างค่ะ

เราเลือกสักพักสองคืนแรกในซัปโปโรนี้ที่ Century Royal Hotel จากประสบการณ์การเดินทางสอนให้รู้ว่าถ้าเป็นไปได้ให้เลือกที่พักใกล้กับสถานีรถไฟ (ถ้าเลือกได้นะคะ)เราเลือกโรงแรมนี้เพราะเรียกได้ว่าเกือบติดกับสถานีซัปโปโร เพราะเพียงแค่คุณเดินออกจากห้างไดมารูและข้ามถนนมาก็ถึงแล้วค่ะ (จริงๆมีทางเชื่อมใต้ดินสามารถเดินมาถึงโรงแรมเลยด้วยค่ะ)  การจองโรงแรมทั้งหมดของทริปนี้ยังคงใช้บริการ booking เหมือนเดิมค่ะ ไม่มีปัญหาใดๆทั้งสิ้นค่ะ

เมื่อเราไปถึงเคาท์เตอร์ของโรงแรม Century Royal นั้นยังไม่ถึงเวลา check in เราก็นำกระดาษที่ยืนยันการจองแล้วก็ฝากกระเป๋าไว้ได้เลย หลังจานั้นเราและคุณสาก็พร้อมลุยเที่ยวในวันนี้ค่ะ

วันนี้เป็นวันสุดท้ายภายในบริเวณที่จัดงานจึงเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมายจนเรียกได้ว่าแน่นขนัดกันเลยทีเดียวค่ะ

ตื่นตา ตื่นใจกับบรรยากาศของการท่องเที่ยวมากกว่าเพราะมีการออกร้านมากมายบริเวณงาน ที่ชอบและโดนใจสุดๆคือมีหน่วยงานหนึ่งที่จะแจกถุงพลาสติกกับที่คีบให้ผู้ที่สนใจและมีจิตอาสาช่วยเก็บเศษขยะที่ตกอยู่บริเวณภายในงาน ทำให้พื้นที่ทางเดินหิมะบริเวณในงานนั้นดูสะอาด พ่อแม่หลายคนจึงให้เด็กเล็กๆ รวมถึงผู้ใหญ่บางคนก็ยินดีที่จะช่วยค่ะ เห็นแล้วสะท้อนใจถึงบ้านเรานะคะ  ขยะมากมายทุกงาน

ร้านขายอาหาร ขายเครื่องดื่ม ขายเกาลัด สารพัดค่ะ

งานเทศกาลหิมะที่ซัปโปโรนี้ มีการจัดงานอยู่ 3 แห่งและที่นี่ที่แรกที่เราเดินนี้คือบริเวณสวนโอโดริ (Odori) เราเลือกซื้อตั๋ว Common Use One Day Card ราคา 1000 เยนสามารถใช้ขึ้นรถไฟใต้ดินได้ทั้ง 3 สายรวมทั้งรถบัสและรถรางค่ะ

งานปฏิมากรรมน้ำแข็งเป็นตัวการ์ตูนน่ารักๆเยอะมากค่ะ แต่....เอ้อ...ป้ารู้จักแต่โดราเอมอน กับ มารุโกะจังน่ะค่ะ คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับตัวการ์ตูนญี่ปุ่นมากนะคะ บางตัวถึงกับกลายเป็นทูตทางวัฒนธรรมไปเลย คงมีแต่ประเทศนี้เท่านั้นมังคะที่ทำได้แบบนี้

เจ้าหมี rilakkuma ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน

ชอบเจ้ารถไฟขบวนนี้มากๆค่ะ ใจอยากจะทำเนียนๆไปขอลูกใครอุ้มแล้วลองนั่งดูบ้าง อิ อิ ไม่น่าเชื่อว่าเล็กๆแบบนี้จะมีกำลังพาคนหมุนวนไปได้ เยี่ยมมากเลยค่ะ

ประเทศไทยเราได้รับรางวัลจากการแข่งขันในครั้งนี้ด้วยนะคะ ได้มาหลายปีติดต่อกันแล้วด้วยค่ะ ดูจากผลงานต้องยอมรับว่าฝีมือของเรากินขาดค่ะ นี่ขนาดยังไม่เจอชุดใหญ่นะคะ หากได้เจอทีมสล่าที่แกะป่าหิมพานต์ฝีมือเยี่ยมจากภาคเหนือ หรือทีมแกะเทียนพรรษาจากจ.อุบล จะยิ่งหนาวกว่านี้แน่ๆค่ะ เอิ๊ก เอิ๊ก

ผลงานแกะสลัก ช้างของประเทศไทยเราค่ะ

อลังการกับปราสาทน้ำแข็ง

ระหว่างสถานีรถไฟใต้ดินสายสีเขียวก็สามารถเดินถึงกันได้ค่ะ ซัปโปโร-โอโดริ-ซูซุกิโนะ แต่เรากับคุณสาใช้ขึ้นรถไฟใต้ดินเอาค่ะเก็บแรงไว้เดินเที่ยวในงาน

พอเดินเที่ยวที่บริเวณ Odori Site จนเบื่อแล้วเราก็ไปโผล่ดูที่Susukino Site ให้เห็นว่าบรรยากาศในช่วงเวลากลางวันนั้นเป็นเช่นไรค่ัะ ที่บริเวณซูซุกิโนะนี้งานไม่ใหญ่ และก็ออกไปทางแนวงานแกะสลักน้ำแข็งแบบในพิธีงานแต่งงานตามโรงแรมของบ้านเรา แต่ตอนกลางคืนกลับมาเดินเล่นก็สวยงามไปอีกแบบหนึ่งนะคะ

นั่งรถไฟใต้ดินสายสีฟ้า Toho Line สุดสายไปลงที่ สถานี Sakaemachi เพื่อไปที่ Tsudome Site ถ้าเดินจากสถานีรถไฟใต้ดินก็คงใช้เวลาประมาณ 10 นาทีแต่มีรถเมล์เที่ยวพิเศษวิ่งบริการจากสถานีไปส่งที่หน้า ไซท์งานเที่ยวเดียว 100 เยน(ตั๋วเหมาที่ซื้อ

มาใช้ไม่ได้ค่ะ เพราะเป็นบริการพิเศษ)

ตอนแรกจะตัดที่ site นี้ทิ้งออกจากโปรแกรมเพราะคิดว่าเวลาไม่พอ เพราะตั้งใจที่จะเดินเที่ยวกันแบบชิลล์ๆไม่เร่งรีบ แต่ก็มาทันค่ะและถ้าไม่ได้มาที่นี่คงเสียใจ เพราะsite นี้อยู่ออกไปทางชานเมืองก็เลยให้ความรู้สึกโล่งสบาย นักท่องเที่ยวต่างเพลิดเพลินกับกิจกรรมต่างๆ พ่อแม่พาลูกตัวน้อยๆกันมาเล่นหิมะ ดูแล้วสดชื่นมีชีวิตชีวา คนญี่ปุ่นไม่เหมือนกับพ่อแม่บ้านเรา เขาปล่อยเล่นอิสระมากๆ เด็กบางคนเรามองดูแล้วเห็นคอยังไม่ค่อยจะแข็งเลย ก็ปล่อยลูกตัวเองเล่นกระดานลื่นอันเล็กๆสำหรับเด็ก (เสียวกลัวเด็กน้อยคอหัก)

คิวรอเล่นยาวมากค่ะ ที่นี่เราเลยไม่ได้เล่นค่ะ

ยังพอมีเวลาเหลือเลยไปเที่ยว Sapporo Beer Museum ตอนนี้จำไม่ได้แล้วว่าไปอย่างไร แต่ขากลับสามารถนั่งรถเมล์จากหน้า Museum มาลงที่สถานีซัปโปโรได้เลยค่ะ สามารถใช้ตั๋วเหมาได้ค่ะ

ที่มาเพราะว่าเป็นคอเบียร์น่ะค่ะ มีความชอบและสนใจเป็นพิเศษค่ะ เอิ๊ก เอิ๊ก

ย้อนกลับมาที่สถานี ซัปโปโร ค่ะเพราะตั้งใจที่จะตามรอยคุณปลาทอง (จำได้ว่าเคยอ่านเจอในบล๊อกแกงค์นี้) ไปกินร้านซูชิแสนอร่อย ตอนนั้นชื่อร้านอะไรก็จำไม่ได้นะคะ คุณสาถามว่ามื้อเย็นเราจะกินอะไรกันดี มันผุดออกมาจาหัวเลยค่ะว่าที่ตึก Stella ชั้น 6 มีร้านซูชิสายพานราคาไม่แพงและอร่อย ป่ะเราไปลองกัน สมคำร่ำลือที่คุณปลาทองว่าค่ะ ขอขอบคุณสำหรับข้อมูลด้วยค่ะ (ยังตามไปชิมที่ MaZa เช่นกันค่ะ)

หลังจากนั่งรอคิวร่วมๆกับคนอื่นประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ถึงคิวเราแว้ว เย้ ดีใจสุดๆ ( หิวโฮ่กกก)

อร่อย จุกค่ะ แต่จ่ายไปคิดเป็นเงินไทยแล้วไม่ถึงพันบาท สุดยอดค่ะ

หลังจากอิ่มจุกแล้ว เลยนั่งรถไฟใต้ดินกลับไปที่ ซูซุกิโนะ อีกครั้งเพราะไหนๆมาแล้วขอกลับไปเดินดูบรรยากาศในช่วงกลางคืนซักนิดค่ะ สวยงามไปอีกแบบค่ะ

แล้วก็กลับมาที่ Odori Site อีกครั้งค่ะ นักท่องเที่ยวยังคงเดินกันมากมายเหมือนเดิม แต่ช่วงกลางคืนส่วนมากเป็นหนุ่มสาวมากกวาค่ะ โรแมนติกมากค่ะ

โฮ่ โฮ่ แต่เดินได้แค่ไม่นานก็ชวนกันกลับโรงแรมแล้วค่ะ ขาไม่ไหวแล้ว ถึงขนาดจะก้าวขาไม่ออกเลยทีเดียว ฮ่า ฮ่า

คืนนี้หลับสบายค่ะ โรงแรม Century Royal ตอนช่วงที่เราไปพักแม้จะเป็นช่วงงานเทศกาลแต่ก็ราคาไม่แพงค่ะ สองคืน ห้าพันกว่าบาทไม่มีอาหารเช้าค่ะ

ดีใจและขอบคุณนะคะที่มีเพื่อนๆพี่ๆเข้ามาอ่านบล๊อกของเราเสมอๆ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ