22. Sayonara Kansai... Sayonara Japan ...
วันที่ 10 : วันที่ 21 พฤศจิกายน 2552 : คันไซ สุวรรณภูมิ เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ตีสองแล้ว ดังนั้น วันนี้เราจึงตัดสินใจตื่นสายกันทั้งคู่ พยายามไม่ให้เกินเวลา Check out แต่ก็ไม่ทันข้าวเช้าของโรงแรมอยู่ดีเมื่อเรา Check out โรงแรมกันแล้ว เราตัดสินใจว่าจะไม่ไปเที่ยวที่ไหนอีกแล้ว แต่จะเดินเล่น ๆ อยู่แถว ๆ สถานี Nankai Namba เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปยังสนามบินคันไซ ซึ่งเรากะว่าจะให้เดินทางไปถึงสนามบินประมาณ 15.00 น. เพราะ JL 727 Take off 17.45 น. กลัวจะตกเครื่อง เลยต้องเผื่อเวลาไว้ให้เยอะ ๆ หน่อย (เดินทางครั้งแรกก็หยั่งงี้แหล่ะ กลัวนั่น กลัวนี่ไปหมด)เราเดินไปที่สถานี Nankai Namba เพื่อจองตั๋วรถไฟสาย Nankai Airport Express ค่าตั๋วคนละ 890 เยน จากนั้นเราก็ไปทาน Brunch กันที่ร้านอาหารภายในห้าง Takashimaya ที่อยู่ในสถานี แล้วก็ไปดูพวกขนมเพิ่มเติมที่ชั้น ใต้ดิน ได้ขนมมาฝาก ผ.อ. ที่ทำงาน แล้วก็ของอื่น ๆ อีกพอสมควร พอได้เวลาเราก็ต้องจากญี่ปุ่นแห่งนี้ไปจริง ๆ ซะแล้ว...ที่สนามบินคันไซ พอเราจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินแล้วยังมีเวลานั่งทาน Starbucks ชิล ๆ เดินดูของ Duty Free อีก จนได้เห็นเรื่องที่สุดแสนจะเจ็บใจ นั่นก็คือ บรรดาขนมทั้งหลายที่เราอุตส่าห์หอบหิ้วกันมาจากทั้งโอซาก้า เกียวโต นาระ ต่างก็มีขายที่สนามบินคันไซนี้ทั้งนั้น แถมราคาก็ยังถูกกว่าซื้อที่ร้าน เพราะไม่ต้องเสียภาษี (แต่พวกของฝากของที่ระลึกมีไม่เยอะเท่าไหร่ ถ้าซื้อจากเมืองนั้น ๆ ก็น่าจะดีกว่า) พอเดิน ๆ ดูจนหนำใจแล้ว มารู้ตัวอีกที ก็ประมาณ 17.30 น. เราสองคนก็ต้องตาลีตาเหลือกวิ่งไปขึ้นเครื่อง เพราะมีประกาศ Final Call เราไม่ได้ดูที่ตั๋วที่เขาเรียก On Board ตอนเวลา 17.05 น. เรานึกว่าให้ On Board ตอน 17.45 น. (มาดูทีหลังถึงเห็นว่ามันเป็นเวลาเครื่อง Take Off...) ดีที่มีเจ้าหน้าที่มาตาม นึกว่าจะตกเครื่องซะแล้ว... แต่ในที่สุดก็ยังขึ้นเครื่องได้ทัน เป็นคนสุดท้ายเลย...แหะ ๆ ...ผ่านไปประมาณ 5 ชั่วโมง JL 727 ก็พาเราก็กลับมาถึงเมืองไทยโดยสวัสดิภาพ เมื่อเวลาประมาณ 21.55 น.ก่อนเครื่องจะ Take Off ออกจากสนามบินคันไซ เรายังใจหายเลยว่า เวลา 10 วันที่เราอยู่ที่ญี่ปุ่น ทำไมมันช่างแสนสั้นเช่นนี้ เรารู้สึกเหมือนว่า ยังไม่ อิ่ม สักเท่าไร อยากเที่ยวต่อ อยากอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ ...นี่ล่ะ ทำไมที่เขาว่ากันว่า ประเทศญี่ปุ่น เป็นประเทศที่ไม่ว่าใครไปเที่ยวแล้วก็ไม่อยากกลับกันทั้งนั้น ถ้ามีโอกาสก็อยากกลับมาเที่ยวอีก สำหรับเรา โดยสรุปแล้ว แม้ว่าทริปครั้งนี้ จะไม่เป็นไปตามแผนที่เราวางไว้ตั้งแต่ทีแรก แต่เราก็รู้สึก...ดีใจ...ที่ได้ลงมือทำตามความฝันที่เราคิดวาดวิมานในอากาศไว้มานานหลายเดือน... ภูมิใจ...ที่เราสามารถเที่ยวต่างประเทศได้ครั้งแรกด้วยตัวของเราเอง... ประทับใจ...กับความสวยงามของสถานที่ทุก ๆ ที่ที่เราได้ไปพบเห็น ...ซาบซึ้งใจ...ในน้ำจิตน้ำใจ อัธยาศัยไมตรีของทุก ๆ คนที่เราได้พบ ได้เจอ ได้พูด ได้คุย ...
KooK
21. นาระ... เมืองหลวงเก่า หลวงพ่อโต และกวาง(ไม่)น้อย
วันที่ 9 : วันที่ 20 พฤศจิกายน 2552 : นาระโปรแกรมท่องเที่ยวของวันนี้ คือ เมืองนาระ (Nara) ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่น เมื่อครั้งสมัยโบราณเรียกว่า เมืองเฮโจเคียว (Heijo-kyo) สร้างโดยพระจักรพรรดิเก็มเมะเท็นโนะ (Emperor Gemmei-Tenno) เมื่อ ปี ค.ศ.710 โดยใช้แบบแปลนของ เมืองฉางอัน เมืองหลวงของจีน สมัยราชวงศ์ถัง เมืองเฮโจเคียว หรือ นาระ เป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่น มาได้เพียง 74 ปี พอปี ค.ศ.784 พระจักรพรรดิคัมมุเท็นโนะ (Emperor Kammu-Tenno) จึงโปรดให้ย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองนางาโอกะเคียว (Nagaoka-kyo) ซึ่งปัจจุบันนี้ คือ เมืองนางาโอกะ ส่วนหนึ่งของจังหวัดเกียวโต พอปี ค.ศ.794 จึงย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองเฮอันเคียว (Hiean-kyo) หรือ เกียวโต ปี ค.ศ.2010 นี้ เมืองนาระ ก็มีอายุครบ 1,300 ปีพอดี ซึ่งตอนที่เราไป (ปี 2009) ทั่วทั้งเมืองก็มีการปิดป้ายโฆษณาเตรียมการจัดงานเฉลิมฉลองเต็มไปหมด โดยจะมีการจัดงานกันอย่างใหญ่โต ที่บริเวณโบราณสถานพระราชวังเฮโจเคียว ซึ่งมีการสร้างจำลองพระราชวังขึ้นมาใหม่ตามแบบของเดิม เราเดินจากโรงแรม Toyoko Inn Osaka-Namba มุ่งไปทางถนนมิโดซึจิ ไปเรื่อย ๆ จนถึงสี่แยกไฟแดงแรก ข้ามถนนไป ก็จะเจอกับทางลงสถานี Namba ของบริษัทรถไฟ Kintetsu ซึ่งเป็นบริษัทรถไฟเอกชนอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเส้นทางนี้จะเป็นสาย Kintetsu Nara Line เริ่มต้นสาย ที่สถานี Namba และจะไปสิ้นสุดที่ สถานี Kintetsu Nara ที่ใจกลางเมืองนาระเลย ซึ่งตัวสถานีจะใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวในเมืองนาระ มากกว่าเดินทางจากสถานี JR Nara เราซื้อตั๋วขบวน Express ราคาคนละ 540 เยน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที ก็มาถึงสถานี Kintetsu Nara
20. คืนถิ่นโอซาก้า (แบบหลง ๆ) + ไปกินขาปูร้านคะนิโดระคุด้วยกันมั้ยครับ !!!
โอซาก้า - นัมบะ
19. Farewell Kyoto... ที่วัดคิโยมิสึ
วัดคิโยมิสึเดระ (Kiyomizu-dera)
18. ไปลอดอุโมงค์เสาโทริอิ ที่ศาลเจ้าฟุชิมิ อินาริ กันเถอะ
วันที่ 8 : วันที่ 19 พฤศจิกายน 2552 : เกียวโตวันนี้จะเป็นวันเที่ยวเกียวโตวันสุดท้ายแล้ว และคืนนี้ต้องเดินทางไปพักที่โอซาก้า เมื่อเราทานข้าวเช้า จัดกระเป๋าเสร็จแล้ว ก็ Check out เลย แต่เรายังฝากกระเป๋าเอาไว้ที่ Front ของโรงแรมได้ เดินทางด้วยรถบัส สาย 206 จากป้าย Shijo-Omiya ไปลงสถานี Kyoto เพื่อเดินทางด้วยรถไฟ JR Nara Line ไปลงที่สถานี Inari แค่ 2 สถานีเท่านั้น ค่าตั๋ว 140 เยน เพื่อไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตอีกแห่งหนึ่งของคนไทย และเป็นที่ที่ดาวบอกว่าอยากไปมากที่สุดในทริป นี้ (ไม่พาไป มีเคือง...) นั่นก็คือ ศาลเจ้าฟุชิมิ อินาริ ไทฉะ นั่นเอง และที่สำคัญก็คือ ที่นี่ ไม่เสียค่าเข้าชมด้วยล่ะ...