ตอน 3...เตรียมตัวเพื่อรับการรักษา
หลังจากได้ข้อมูลการรักษาตัวจากแหล่งต่างๆพอสมควรแล้ว ก็บินกลับมารับการรักษาด้วยการฉายแสงตามกำหนดในต้นเดือนสิงหา พร้อมๆ กับขนหนังสือเกี่ยวกับการแพทย์ทางเลือกและหนังสือธรรมะที่เพื่อนๆ ผู้ใจดีช่วยกันสรรหามาให้ (หนักแค่ไหนก็ต้องขนมาด้วยไม่ให้เสียนำ้ใจเพื่อน...และก็อยากอ่านอยากรู้ด้วยแหล่ะ)
กลับมาถึงได้ไม่กี่วันก็เริ่มเข้าคอรสการรักษาตามที่นัดหมอไว้ไม่กล้าขอเลื่อน เพราะหมอลงทุนทำคาสแขนเรซิ่นเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว ถ้าเลื่อนการรักษาออกไปกลัวหมอจะหาว่าเราทำให้การรักษาล่าช้า ดีไม่ดีเดี๋ยวถูกชาร์ตค่าคาสเรซิ่นขึ้นมาจะยุ่ง (เขาให้การรักษาเป็นเคสด่วนและไม่เสียเงินก็บุญแล้ว ) ก็เลยไปทำการฉายแสงตามกำหนดแต่โดยดี หมอนัดทำฉายแสงทุกวัน วันละครั้ง จันทร์ ถึงศุกร์ เป็นจำนวน 33 ครั้ง (เสียเวลาเดินทางไปที่ รพ. เที่ยวละ 1.30 ชม. ไปกลับก็ 3 ชม. ทุกวัน นั่งจนเมื่ิอย!) ไปนั่งรอคิวอีกราว 10-20 นาที แต่ทำฉายแสงแค่ 15 นาที โชคดีที่ทางเจ้านาย และบริษัทของสามีเข้าใจสถานการ์ณ อนุญาตให้สามีขาดงานได้ครึ่งวันทุกวัน (โดยไม่เสียวันลา) เพื่อพาคุณภรรยาไปทำการรักษาตัวที่ รพ. ตามกำหนดนัดหมอ แถมเจ้านายยังกรุณาให้เอารถของบริษัทขับไป รพ. ได้อีกเพื่อประหยัดเงินค่าน้ำมัน (ค่าน้ำมันที่นี่ขึ้นแพงมากต้องขับไปกลับทุกวัน ถ้าจ่ายเองมีหวังเสียค่าน้ำมันวันละ 30 ปอนด์ หรือราววันละ 1,500 บาท!) เพื่อนร่วมงานของสามีก็มีนำ้ใจ รวบรวมเงินมาให้เป็นค่าน้ำมันไว้ต่างหากกันอีก (ในกรณีที่ใช้รถตัวเองขับไป ในบางวัน)
พอกลับมาก็เตรียมตัวเองด้วย ตั้งแต่ก่อนทำการการฉายแสงและในระหว่างการฉายแสง เขียนแผนปฏิบัตเป็นเรื่องเป็นราวเลย เริ่มตั้งแต่ตื่นเช้ามา...เดินจงกรม...ต่อด้วยนั่งสมาธิ...แล้วก็ออกกำลังกายเบาๆ (เดินเร็ว วิ่งเหยาะ หรือรำกระบอง)...เสร็จแล้วดื่มน้ำผักหรือผลไม้ปั่น...เข้าห้องน้ำทำธุระ...เสร็จแล้วทำดีท็อกส์กาแฟ...ทานอาหารเช้า...ทานวิตะมินสารพัด 1 กำมือใหญ่ (ตามที่หมอของบัลวีกำหนดมา)...ทำกิจกรรมประจำวัน...แล้วก็ดื่มน้ำผักหรือผลไม้ปั่นอีกในตอนสายๆ...ทานอาหารเที่ยง...แล้วก็วิตะมิน Bio C กับเบต้าแคโรทีน (อีกรอบ กินประมาณ 4 รอบต่อวัน)...ดื่มน้ำผักหรือไม้อีกในตอนบ่าย...ทำดีท็อกส์กาแฟตอนเย็นอีกรอบ...ทานอาหารเย็น...วิตะมินอีกรอบ...อาบน้ำ...สวดมนต์...ทำสมาธิ...เข้านอน นี่เป็นกิจวัตรประจำวันช่วงที่ทำการฉายแสงทำทุกวันเคร่งมาก เรื่องอาหารก็พยายามเคร่ง ไม่ได้งดเนื้อสัตว์เสียทีเดียวเพราะยังต้องทำอาหารให้ลูกและสามีอยู่ ก็ยังมีปลามีไก่อยู่ในเมนูบ้าง เราก็เลี่ยงพยายามไม่ทานเนื้อสัตว์ในอาหารนั้นๆ เน้นไปทางผักเสียมาก และทานสาหร่ายในมิโซซุปทุกมื้อ ดื่มแต่น้ำเปล่ากับชาเขียว ตลอดวัน ก็พยายามควบคุมอาหารแต่ไม่ถึงกับ extreme สุดโต่ง
จริงๆ แล้วอาทิตย์แรกที่กลับมาพยายามทำแบบ extreme อยู่...พยายามงดเนื้อสัตว์และโปรตีนทุกชนิดอยู่ งดทั้งเห็ดทั้งถั่วและโปรตีนจากพืชทุกชนิด กินแต่ผักสด ต้มจืด(จืดจืด) ผักผัด(จืดจืด) คิดดูเองละกันว่าจะทนทำไปได้สักกี่วัน ในขณะที่ยังต้องทำอาหารเนื้อสัตว์ให้คุณสามีและลูกอยู่ (คุณสามีไม่ชอบกินผัก!) ทำอาหารของตัวเองทำไปมันฝนทำฝืนกิน ไม่มีความสุข แล้วจะทำไปทำไม ในเมื่อตั้งใจว่าจะทำชีวิตให้มีความสุขกะทุกสิ่ง จะได้ไม่เครียด แต่ยิ่งทำยิ่งเครียด แถมกินน้อยลง ก็เลยเลิกกดดันตัวเอง ทำอาหารที่อยากกินแต่ลดความเค็มความหวานลง งดน้ำตาลได้เด็ดขาด งด additive ทุกชนิด งดเนื้อแดง กินปลากินไก่ แต่กินแค่นิดหน่อย ไม่ได้กินตามความอยากเหมือนที่เคยทำก่อนป่วย ทุกวันดื่มแต่น้ำกับชาเขียวไม่ใส่น้ำตาลทั้งวัน งดโค้กงดน้ำอัดลมเด็ดขาด
อยากพูดถึงเรื่องอาหารที่กินก่อนแขนมาปวดมากๆ จนต้องไปหาหมอในปีสองปีแรกก่อน ว่าหลังจากที่ผ่าตัดเนื้องอกไปเมื่อปี 1999 เราก็เริ่มเตรียมตัวอ่านหนังสือหาข้อมูลเรื่องมะเร็งเรื่องภูมิคุ้มกันเรื่องชีวจิตมาตั้งแต่นั้น เพราะเข้าใจว่าตัวเองมีเนื้องอก หรือเซลล์ที่ผิดปกติเสี่ยงต่อมะเร็ง ถ้าร่างกายรับ carcinogen หรือสารก่อมะเร็งเข้าไปมากๆ เจ้าเซลล์ที่ไม่ปกติของเราอาจจะกลายเป็นมะเร็งขึ้นมาได้ ก็เลยพยายามระวังเรื่องอาหารการกินมาแต่นั้นพยายามทานอาหารเป็นประโยชน์ผักผลไม้ ชาเขียว งดเหล้าไปหลายปี พยายามงดเนื้อวัว กินปลากินไก่ พอแต่งงานย้ายกลับมาอยู่อังกฤษ ก็พยายามทำต่อแต่ก็หละหลวมขึ้นเยอะเพราะตอนแรกๆ อยู่กับรอบครัวสามี และที่นี่มี roast dinner เป็นอาหารประจำบ้าน แถมดื่มไวน์ดื่มแอลกอฮอล์กันเป็น social habit อ้อ แถมด้วย tea time ใส่นมวัวสดอีกต่างหาก แบบดื่มกันตามมารยาทวันละหลายถ้วย ไปบ้านเขาๆ เขาก็ให้ดื่มชา มาบ้านเราก็ต้องชงชาให้เขาแถมด้วยของเราอีก (ตามมารยาท)
อยู่ไปอยู่ไป เริ่มชินกับชีวิตวิถีอังกฤษ ตื่นเช้าขึ้นมาดื่มชาดื่มกาแฟ (ใส่นำ้ตาลอีกต่างหาก) วันๆนึงดื่มกันวันละ 10 ถ้วยแทนน้ำเลย (เพราะมันหนาวต้องดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆ) roasted dinner หลายมื้อต่ออาทิตย์ขนมของหวานที่นี่ก็หวานเจี๊ยบจนไม่รู้รสอื่นๆ(มีแต่ความหวานน้ำตาล) จากที่ควบคุมอาหารเริ่มหย่อนขึ้น หย่อนขึ้น ชะล่าใจด้วยเพราะแขนไม่มีอาการอะไรผิดแปลก ช่วง 2-3 ปีก่อนหน้าที่แขนจะเริ่มเจ็บอีก เราหมดความควบคุมและยับยั้งชั่งใจในตัวเอง กินทุกอย่างที่อยากกิน กลับไปดื่มเหล้าเยอะอีก ดื่มชากาแฟ (วันละไม่ต่ำกว่า10 ถ้วย) ชาเขียวลืมไปเลย กิน BBQ แบบไหม้ๆ (มันอร่อย) ทำพะโล้หมูสามชั้นแบบ มันฉ่ำๆ หนังไก่ใครทิ้งเราเก็บกินหมด หมูย่างก็ต้องแบบไขมันเยอะๆ (มันนุ่มอร่อย) กินเนื้อแดง ทั้งเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อหมูกระหน่ำ (จากไซด์ 10 ขึ้นไปไซด์ 14 เริ่มคับ!)
ช่วงที่แขนเริ่มปวด เริ่มเป็นหวัดบ่อย เป็นทีนานเป็นอาทิตย์ 2 อาทิตย์ พอหายได้ไม่เท่าไหร่ ก็เป็นอีก เป็นๆ หายๆ อยู่บ่อยๆ หลายเดือน แถมมีภูมิแพ้ด้วย กลางคืนอากาสชื้นหายใจไม่ออก พอเข้าฤดูใบไม่ผลิเป็น Hayfever (แพ้ละอองเกสรดอกไม้)อีก พอเริ่มเจ็บแขน เริ่มรู้สึกถึงสัญญาณเตือนว่าภูมิคุ้มกันของตัวเองเริ่มไม่ค่อยดีแล้วนะ เป็นหวัดอะไรกันเป็นเดือนๆ เป็นแล้วเป็นอีก แขนเริ่มเจ็บอีก เริ่มคิดถึงมะเร็งหน่อยๆ แล้ว พอไปหาหมอแล้วหมอบอกไม่เป็นอะไรถึงได้ตื้อหมอไม่หยุด สัญชาตญาณมั้ง เรารู้ว่าร่างกายเราผิดปกติ ถึงได้ตื้อหาหมอจนหมอให้สแกนแล้วก็เป็นจริงอย่างที่สังหรณ์ (เพราะฉะนั้นอยากบอกว่า...ถ้าคุณรู้สึกว่าตัวคุณไม่ปกติ ขอให้เชื่อสัญชาตญาณตัวเอง ถ้าหมอนี้ไม่ช่วยอะไรก็หาความเห็นของหมอคนอื่นๆต่อไป) เรากว่าจะได้สแกนก็เสียเวลาตื้อหมออยู่เกือบ 2 ปี เพื่อนหลายคนบอกให้ฟ้องหมอคนนี้เพราะถ้าสแกนไปตั้งแต่ที่ปวดปีแรกอาจจะยังไม่ลามเข้ากระดูก อาจจะรักษาทัน แต่เราก็ไม่อยากฟ้องหรอก เพราะเราอยากใช้ชีวิตแบบไม่เครียด ถ้าไปฟ้องเขาต้องมานั่งติดตามคดี ไปศาลมั่งไรมั่ง หาเรื่องเครียดให้ตัวเองปล่าวๆ
อีกเรื่องนึงที่ทำในช่วงเตรียมตัวรับการรักษา...คือได้บอกเพื่อนๆ ใกล้ชิดที่รู้เรื่องไม่ให้บอกใคร เพราะมีเหตุผลส่วนตัวค่ะ เนื่องจากเราอยากใช้ช่วงการรักษานี้แบบไม่ต้องคิดถึงการรักษา แบบทำการรักษามะเร็งไปโดยไม่ต้องคอยคิดว่าเป็นมะเร็งอ่ะค่ะ คืออยู่กับทุกวันโดยไม่ต้องไปกังวลกับความคิดว่าเราเป็นมะเร็งนะ แบบว่าลืมมันไปได้เลยยิ่งดีว่าเป็นมะเร็ง การที่เพื่อนรู้ 5 คน ก็เจอคนถามไถ่แค่ 5 ครั้งถ้่ารู้กันไปมาก เจอใครๆ ก็จะถามเป็นยังไงมั่ง เจ็บไหมอะไรงี้ ถ้าเจอ 10 คนถาม 10 คน มันเหมือนมีคนมาคอยย้ำเตือน ว่าแกเป็นมะเร็งนะ ง่ายๆ คือเราอยากใช้ชีวิตแบบไม่ต้องรับรู้ตลอดเวลาว่าตัวเองเป็นมะเร็ง อาจจะแบบลืมๆ ไปบ้าง คิดว่าตัวเองสมบูรณ์แข็งแรงดี แล้วก็มีความสุขอยู่กับความคิดแบบนั้นเท่านั้นเอง ถึงได้ไม่อยากบอกให้คนรู้เยอะในตอนแรก ตอนที่บอกข่าวกับเพื่อนสนิทใกล้ชิดก็จะบอกเขาว่าเป็นมะเร็งนะ แต่ไม่ต้องเศร้านะเพราะชั้นไม่เศ้รา อย่าคิดว่าชั้นเป็นมะเร็งแล้วชั้นจะตาย ไม่ได้หมายความว่าชั้นจะหาย แค่อย่าคิดว่าชั้นกำลังจะตายเท่านั้นพอ (มีตัวอย่างของคนที่รู้แล้วมาทำให้เราจิตตกด้วยนะ เขาไม่ได้รู้มาจากเพื่อน สามีตัวดีของเรานี่เองปากอยู่ไม่สุข ไปบอกเพื่อนคนอังกฤษคนหนึ่งที่เป็นคนมองโลกแง่ร้ายทุกเรื่อง พอมาเจอเรา เขาเข้ามาบอก I'm so sorry to know you have cancer แล้วก็มาทำหน้าแบบเศร้ามาก ลูบแขนลูบไหล่เหมือนเราจะตายวันพรุ่งนี้ประมาณนั้น มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย! ) เคยฟังคนเป็นมะเร็งที่มองโลกในแง่ดีเขาคุยกัน เขาบอกว่าเขาใช้ชีวิตแบบไม่คิดถึงมะเร็ง คนหนึ่งเป็นมะเร็งที่ตับ เวลาเจอคนรู้จักชอบถามว่า เจ็บไหมที่ตับน่ะ คนเป็นมะเร็งเขาก็บอก...ก่อนที่คนจะมาถามเนี่ยเขาไม่เจ็บเลยนะ แต่พอมาถามเหมือนมาเตือนให้รู้ตัวน่ะว่าเป็นมะเร็งที่ตับ...ทำให้เจ็บขึ้นมาเลย!
ยาวเลย...ไปต่อเรื่องการดูแลตัวเองในระหว่างทำการรักษาด้วยการฉายแสงในตอนต่อไปค่ะ...
Create Date : 01 กันยายน 2555 |
|
12 comments |
Last Update : 1 กันยายน 2555 6:12:03 น. |
Counter : 8837 Pageviews. |
|
|
|