การประลองชี้ชะตา
บทที่ 6 (การประลองชี้ชะตา) ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่กู้อันเฉิงหมดสติไป ทว่าพอได้สติกลับมาก็พบว่านางนอนอยู่บนเตียงที่เริ่มคุ้นเคยของจวนตระกูลเซวีย มีถานเอ๋อร์นั่งสัปหงกเฝ้าอยู่หน้าเตียง ได้กลิ่นยาฉุนๆแตะอยู่ปลายจมูก แต่ประสาทรับรู้ของนางยังไม่ดีพอที่จะหาที่มาของมัน “ถานเอ๋อร์...โอย...เจ็บจริงๆ” กู้อันเฉิงร้องเรียกด้วยน้ำเสียงที่สามารถเปล่งออกมาจนพ้นริมฝีปากได้ นางพยายามขยับตัว ทว่าความเจ็บปวดที่หัวเข่าทำให้นางถึงกับครางออกมา เสียงเรียกทั้งเสียงร้องครวญครางเพราะความเจ็บปวดปลุกให้ถานเอ๋อร์ตื่นขึ้นมา “คุณหนูฟื้นแล้ว” สีหน้าดีใจจนน้ำตาคลอของถานเอ๋อร์ทำเอากู้อันเฉิงถึงกับซาบซึ้ง โดยปกติแล้วไม่ค่อยมีใครใส่ใจอาการเจ็บป่วยของนางสักเท่าไหร่ ในค่ายทหารใครป่วยต่างย่อมรู้ดีว่าควรไปที่ใด หากอาการหนักอาจพักอยู่ที่หน่วยโอสถมีพลทหารสังกัดหน่วยโอสถดูแล แต่หากเบาบางทุกคนล้วนได้ยากลับมาต้มดื่มกินช่วยเหลือดูแลตนเองยังกระโจมพัก กู้อันเฉิงถึงจะอยู่ในฐานะน้องชายรองแม่ทัพกู้เหวิน บุตรคนรองของกุนซือกู้เหยียนก็ไม่ได้อภิสิทธิ์เหนือใคร ยิ่งในค่ายที่มีเฉพาะบุรุษที่แข็งกระด้าง ขาดความอ่อนโยนของสตรีเพศด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ครั้นเห็นถานเอ๋อร์แสดงความใยดี นางก็อดที่จะน้ำตาคลอแสดงความซาบซึ้งด้วยไม่ได้ “ข้าหลับไปนานแค่ไหน แล้วตอนนี้เวลาเท่าไหร่” กู้อันเฉิงเอ่ยถาม มองออกไปภายนอกความสว่างเช่นนี้ไม่อาจแยกได้ว่าเป็นเวลาเย็นหรือเวลาเช้า “ยามเหม่าเจ้าค่ะ คุณหนูหลับมาหนึ่งคืนเต็มๆ ทั้งยังมีไข้สูง ท่านอ๋องตามหมอมาดูอาการแล้วก็ดูแลคุณหนูทั้งคืน จัดการพอกยาที่เข่าให้คุณหนูด้วยตัวเอง เพิ่งจะกลับไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม” “อะไรนะ ท่านอ๋องค้างที่นี่...อีกแล้วเหรอ...อูย!” กู้อันเฉิงเผลอลุกขึ้นนั่ง ทว่าความเจ็บปวดที่แล่นเข้ากระแทกหัวใจอย่างแรงนั้นทำให้นางต้องล้มตัวลงนอน ก่อนจะค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นมาอีกครั้งด้วยความระมัดระวังที่เพิ่มมากขึ้นเท่าตัว ผ้าห่มผืนหนาที่คลุมมาถึงครึ่งตัวถูกเปิดออก มองเห็นขาซ้ายของนางมีผ้าหนาๆพันที่หัวเข่าโดยรอบ ที่แท้กลิ่นยามาจากเข่านางนี่เอง “ท่านหมอบอกว่าโชคดีมากที่กระดูกสะบ้าไม่แตก ไม่เช่นนั้นการรักษาคงใช้เวลานานแรมเดือน เจ็บมากเลยหรือเจ้าคะ” ถานเอ๋อร์ชี้ไปที่หัวเข่า เห็นคุณหนูพยักหน้าถานเอ๋อร์ก็รีบลุกขึ้นยืนทันที “รออยู่นี่นะเจ้าคะ ถานเอ๋อร์จะไปเรียนท่านอ๋อง” นางบอกก่อนจะหมุนตัว ทว่ายังไม่ทันได้ก้าว แต่กลับถูกเรียกเอาไว้เสียก่อน “เดี๋ยว...ไม่ต้องไปรบกวนท่านอ๋อง ข้าพอทนได้” กู้อันเฉิงคิดว่าเวลานี้ไม่ควรรบกวนเขา ควรปล่อยให้เซวียเย่าอ๋องมีเวลาทำใจยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นบ้าง “ไม่รบกวนหรอกเจ้าค่ะ ท่านอ๋องสั่งเอาไว้ หากคุณหนูฟื้นแล้วให้ไปเรียนท่านอ๋อง” “ไม่ต้อง.... ช้าเร็วท่านอ๋องก็ย่อมรู้ว่าข้าฟื้นแล้ว เจ้าไปเก็บข้าวเก็บของเตรียมไว้เถอะ เข่าข้าดีขึ้นเมื่อไหร่เราค่อยออกเดินทาง” กู้อันเฉิงสั่งแล้วก็นึกใจหาย นางเผลอกวาดสายตามองไปรอบๆห้อง ถึงอยู่ได้ไม่นานแต่ก็ยังเกิดความผูกพัน “จะเดินทางไปไหนเจ้าคะ” ถานเอ๋อร์มองคุณหนูด้วยสีหน้าแสดงความไม่เข้าใจ “ไปชายแดน” “ไปทำไมเจ้าคะ” “ก็ข้าแพ้… ข้าแพ้การประลองถึงสองรอบ ก็ย่อมต้องเสียเดิมพันตามข้อตกลง” กู้อันเฉิงหลับตาลง นึกเห็นใจเซวียเย่าอ๋องที่ถึงแม้เขาจะได้แต่งกับองค์หญิงแคว้นฉู่ ทว่าสุดท้ายเขาก็จะกลายเป็นหมากสำคัญตัวหนึ่งในเกมการเมือง หรือว่าบางทีการพ่ายแพ้ครั้งนี้อาจเป็นผลดีกับท่านอ๋องก็เป็นได้ อย่างที่เคยได้ยินพี่ใหญ่กู้เหวินเอ่ยปากอยู่บ่อยๆ ว่า สตรีใดก็ไม่คู่ควรกับท่านอ๋องเท่าองค์หญิงใหญ่แห่งซีฉู่ คิดแล้วนางก็ได้แต่ทอดถอนใจ “แพ้อะไรกันเจ้าคะ คุณหนูชนะต่างหาก ชนะขาดรอยชนิดที่ว่าองค์หญิงแคว้นซีฉู่คนนั้นอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออกเชียวล่ะเจ้าค่ะ” ถานเอ๋อร์กล่าวด้วยสีหน้าภาคภูมิใจในตัวคุณหนูของนางยิ่งนัก “ข้าชนะเหรอ เป็นไปได้ยังไง” กู้อันเฉิงไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “ถานเอ๋อร์เองก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน แต่มันเป็นไปแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูยิงเกาทัณฑ์ทะลุกลางเป้าทุกลูก แถมลูกธนูของคุณหนูยังผ่าลูกธนูขององค์หญิงผู้นั้นออกเป็นเสี่ยงๆ ถึงสองลูก ส่วนอีกลูกไม่โดนผ่าเพราะลูกธนูของนางพลาดกลางเป้าไปหน่อยเดียวเอง มติของเหล่าเสนาฝ่ายบู๊ลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าเจิ้นเป่ยหวางเฟยเป็นฝ่ายชนะ” “เช่นนั้นข้าก็ชนะสินะ” “ใช่แล้วเจ้าค่ะ” ได้ยินคำตอบรับยืนยันผลการประลองจากถานเอ๋อร์แล้วกู้อันเฉิงแทบลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้น ทว่าเข่าที่ได้รับบาดเจ็บห้ามเอาไว้ซะก่อน ก่อนจะถามต่อด้วยความอยากรู้ “แล้วท่านอ๋องว่าไงบ้าง” “จะว่าไงล่ะเจ้าคะ ท่านอ๋องไม่สนแพ้ชนะซะด้วยซ้ำ หลังจากที่วิ่งไปรับคุณหนูที่กำลังร่วงจากหลังเจ้าแดง พอรู้ว่าคุณหนูได้รับบาดเจ็บ หน้าท่านอ๋องแทบเปลี่ยนเป็นสีดำ ประกาศกร้าวเลยว่า” ถานเอ๋อร์ลุกขึ้นมายืนหน้าเตียง เลียนแบบท่าทางอันสง่าผ่าเผยและแข็งกร้าวของเซวียเย่าอ๋องที่ยังประทับตราตรึงอยู่ในใจนางด้วยความชื่นชมและยกย่อง “หากเจิ้นเป่ยหวางเฟยมีอันตรายถึงชีวิตก็อย่างหวังว่าหน้าไหนจะบังคับให้ข้าเซวียเย่าอ๋องสมรสกับสตรีอื่นได้” “จริงเหรอ” “จริงเจ้าค่ะ ถานเอ๋อร์ไม่ได้หูฝาดแน่นอน คนอื่นๆ ได้ยินกันทั้งสนามประลอง” ได้ยินเช่นนั้นกู้อันเฉิงพลันรู้สึกหวานในอก อดยิ้มออกมาไม่ได้ ทว่าแสร้งมองเมินไปทางอื่นปิดบังไม่ให้สาวใช้จอมสู่รู้ของนางได้เห็น “หลังจากนั้นล่ะ” “จากนั้น ท่านอ๋องก็อุ้มคุณหนูขึ้นเจ้าแดงตัวที่คุณหนูใช้แข่งควบกลับจวนทันที ไม่รอดูผลการประลองด้วยซ้ำ” และแล้วม้าเหงื่อโลหิตตัวนั้นก็มีชื่อเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งชื่อ เซวียเย่าอ๋องเรียกมันว่าฟ้าคำรณ กู้อันเฉิงเรียกมันว่าเจ้าสีเพลิง และสุดท้ายถานเอ๋อร์ก็เรียกมันด้วยความเอ็นดูว่า เจ้าแดง “แล้วการประลองหัวข้อต่อไปล่ะ ในเมื่อท่านอ๋องประกาศเช่นนั้นแล้ว จะมีการประลองต่อไปอีกไหม” ในเมื่อผลแพ้ชนะออกมาเป็นหนึ่งต่อหนึ่ง การประลองในหัวข้อต่อไปย่อมยากจะหลีกเลี่ยง ฉู่ฉิงเหยียนย่อมไม่ยอมลามือแน่ ต่อให้เซวียเย่าอ๋องจะประกาศจุดยืนของตนเองไปแล้วก็เถอะ “ก็ต้องมีสิเจ้าคะ ก็ในเมื่อคุณหนูยังไม่ตาย...อุ๊บ” ถานเอ๋อร์รีบตะครุบปากตัวเองเอาไว้อย่างไว พอเห็นว่าคุณหนูไม่ได้แสดงสีหน้าถือสาปากของนาง นางจึงได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อน กู้อันเฉิงถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อคิดไปถึงอีกหัวข้อของการประลองนั้น บอกตามตรง ในบรรดาหัวข้อประลองทั้งสาม การเดินหมากคือสิ่งที่นางกลัวที่สุด ก็อย่างที่ได้บอกกับเซวียเย่าอ๋อง นางไม่เคยเล่นหมากล้อมอย่างจริงจัง แม้จะเคยเห็น รู้กติกา และรู้เคล็ดลับการเดินหมากมากมาย ทว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นกู้เหยียนที่แสดงให้นางดูระหว่างประมือกับเซวียเย่าอ๋อง มีบ้างที่นางสอดแทรกแก้เกมให้ฝ่ายท่านอ๋องเมื่อเห็นว่าเขากำลังจะหลงเข้าหลุมพรางของตาเฒ่ากู่เหยียน ทว่าการแข่งครั้งนี้นางต้องลงสนามประลองด้วยตัวเอง เป็นการลงสนามประลองครั้งแรกในชีวิต สีหน้าของนางจึงกลับเปลี่ยนมาเป็นกังวล “สรุปว่าเจ้ายังต้องเข้าประลองฝีมือการเดินหมากต่อไปอีก” เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ประตู ทั้งกู้อันเฉิงและถานเอ๋อร์ต่างหันไปมองที่ต้นเสียงพร้อมๆกัน เป็นเซวียเย่าอ๋องที่ถือวิสาสะเปิดประตูเดินผ่านเข้ามา ถานเอ๋อร์จึงลุกขึ้นเดินเลี่ยงออกประตูและปิดเข้าหากันเรียบร้อยอย่างรู้หน้าที่ “เมื่อไหร่เจ้าคะ” “บ่ายนี้ ทว่าสถานที่ประลองถูกเปลี่ยนไปเป็นอุทยานในวังหลวง” “อืม...” กู้อันเฉิงเปล่งเสียงจากลำคอแสดงการรับรู้และเข้าใจ “แล้วอาการที่เข่าของเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง” เซวียเย่าอ๋องเอ่ยถามพลางขยับเข้ามานั่งที่ขอบเตียง ความใกล้ชิดระดับนี้ทำเอากู้อันเฉิงอดที่จะหน้าร้อนวูบวาบไม่ได้ ไม่เข้าใจตัวเองสักเท่าไหร่นักว่าทำไมช่วงหลังมานี้นางถึงไม่ค่อยกล้าเผชิญหน้า มองสบตาท่านแม่ทัพใหญ่ แตกต่างจากครั้งที่ยังอยู่ในกองทัพ มีโอกาสได้รับใช้ใกล้ชิด เคยแม้กระทั่งปรนนิบัติแต่งตัวสวมชุดเกราะให้ นางยังไม่เคยที่จะรู้สึกเก้อเขินมากมายเช่นนี้ “ไม่ค่อยเจ็บแล้วเจ้าค่ะ”นางบอกเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกสบายใจขึ้น “บาดเจ็บได้ยังไง” “ตอนที่ข้าพาเจ้าสีเพลิง...เอ่อ...ฟ้าคำรณข้ามด่านโคลน ข้าถูกลอบโจมตี ดีนะที่เป็นแค่หินลูกหนึ่งเท่านั้น ถ้าเป็นอย่างอื่นเข่าข้าคงใช้งานไม่ได้อีกนาน” กู้อันเฉิงยังอุตส่าห์มองโลกในแง่ดี ทว่าเซวียเย่าอ๋องไม่ได้เห็นดีด้วย ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย เริ่มมืดดำลงในทันทีที่รู้ถึงสาเหตุการบาดเจ็บของหวางเฟย ยังไงเขาก็จะควานหาตัวผู้บงการให้เจอ หากเจอเมื่อไหร่เขาจะทำให้มันกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต “เช่นนั้น การประลองหมากล้อมบ่ายนี้ร่างกายเจ้าไหวหรือไม่” “ไหวเจ้าค่ะ” “แล้วเจ้ามั่นใจแค่สักแค่ไหน” นี่คือสิ่งที่เซวียเย่าอ๋องต้องการถามมาตั้งแต่รับประทานอาหารมื้อเช้าร่วมกัน แต่เขากลับไม่ได้ถาม “บอกตามตรงว่าไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ข้าจะได้เล่นหมากล้อมด้วยตัวเอง” ถึงแม้จะเคยดูเซวียเย่าอ๋องกับกุนซือกู้เหยียนเล่นด้วยกันอยู่บ่อยครั้งจนสามารถจับทางการเล่นของคนทั้งสองได้บ้างก็เถอะ “เช่นนั้นเจ้านอนพักให้เต็มที่ ต่อให้บ่ายนี้เจ้าพ่ายแพ้การประลอง ข้าก็จะหาวิธีให้เจ้าอยู่ในจวนตระกูลเซวียต่อไป ไม่ต้องกังวล” เซวียเย่าอ๋องปลอบประโลมหวางเฟยด้วยน้ำเสียงจริงจัง กดร่างนางให้นอนลงอย่างระมัดระวัง ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นคลุมจนถึงคอ นิ้วแข็งแกร่งปัดเส้นผมสลวยออกให้พ้นหน้าผาก มองนิ่งทั่วทั้งองคาพยพของดวงหน้าที่งดงามไม่แพ้ใคร โดยเฉพาะแววตาคู่นั้นยิ่งมองก็ยิ่งทำให้คิดไปถึงคนที่จากไปไม่หวนกลับ ความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในสมองส่งผลให้จิตใจที่แข็งกร้าวเกิดอาการสั่นไหว ทว่าสิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้มีเพียงแค่มองดูนางหลับตาลง แล้วเขาค่อยลุกเดินออกไป การกระทำและคำพูดเมื่อครู่ของเซวียเย่าอ๋องทำให้กู้อันเฉิงรู้สึกอุ่นวาบในอกอย่างประหลาด พูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่าท่านแม่ทัพใหญ่เซวียเย่าอ๋องดูไม่เหมือนเซวียเย่าอ๋องคนที่นางเคยปรนนิบัติเมื่อครั้งอยู่ค่ายจ้านเสิน แม่ทัพคนนั้นไม่ต่างอะไรกับปีศาจสงคราม ทว่าเซวียเย่าอ๋องคนนี้กลับมีความเป็นมนุษย์มากกว่า เขาเป็นมนุษย์ผู้ชายที่เริ่มจะเรียนรู้การใส่ใจสตรีขึ้นมาบ้างแล้ว กู้อันเฉิงรู้สึกอิจฉาและเสียดายแทนเฉินเวยเซี่ยวยิ่งนัก หากนางยังมีชีวิตอยู่ นางคงเป็นหวางเฟยที่มีความสุขที่สุดในแคว้น เซวียเย่าอ๋องสั่งโรงครัวตั้งโต๊ะรับประทานมื้อเที่ยงเร็วขึ้น เพื่อเวยเซี่ยวจะได้มีเวลาพักย่อยอาหารอีกสักหน่อยก่อนเข้าประลองเดินหมาก เขาอุ้มนางจากเตียงมาวางลงบนเก้าอี้ หยิบตะเกียบและชามข้าวส่งให้ถึงมือก่อนจะกลับไปนั่งยังที่นั่งตรงข้าม คว้าชามกับตะเกียบมาถือไว้บ้าง สายตาเขากวาดมองอาหารบนโต๊ะรอบหนึ่งก่อนจะใช้ตะเกียบคีบเข่าอ่อนไก่ผัดขิงไปวางไว้บนถ้วยของเวยเซี่ยว “กินกระดูกอ่อนบำรุงกระดูกเข่า” เซวียเย่าอ๋องเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะเริ่มคีบกับข้าวอย่างอื่นวางตามลงไปด้วย ค่อยเริ่มลงมือจัดการอาหารตรงหน้า ไม่แม้แต่จะมองสบตาชายาที่นั่งอึ้งมองเขาด้วยอาการคาดไม่ถึง ทว่าความรู้สึกของเทพสงครามย่อมไวกว่าคนธรรมดาทั่วไป แม้ไม่ได้มองก็รู้ว่ากำลังถูกจ้องอยู่จึงได้สำทับไปอีกรอบ “รีบกินเถอะ อิ่มแล้วก็เอนหลังอีกหน่อย” กู้อันเฉิงจึงเริ่มลงมือรับประทานอาหารด้วยกิริยาที่พยายามทำให้ดูเรียบร้อย เป็นกุลสตรีมากเท่าที่จะทำได้ แม้จะรู้สึกขัดกับความเคยชินอันเป็นนิสัยแท้จริงของนาง กินข้าวเสร็จเซวียเย่าอ๋องก็อุ้มชายากลับไปวางไว้บนเตียงตามเดิม ทั้งยังสั่งนางให้นอนนิ่งๆ เมื่อถึงเวลาเขาจะกลับมารับนางให้เดินทางเข้าวังหลวงไปพร้อมกัน คำสั่งต่างๆ ที่เซวียเย่าอ๋องสั่งชายาเวยเซี่ยว กู้อันเฉิงล้วนปฏิบัติตามและให้ความร่วมมืออย่างว่าง่าย ยกเว้นเรื่องที่นางต้องกลายเป็นทารกแบเบาะให้ท่านอ๋องอุ้มไปอุ้มมา แม้กระทั่งอุ้มนางออกจากห้อง เดินผ่านสวน ผ่านบ่าวรับใช้ ที่นางสังเกตเห็นว่าทุกคนแอบยิ้มให้กับภาพตรงหน้าพวกเขา แม้กระทั่งถานเอ๋อร์ที่เดินตามหลังมาติดๆ ก็ไม่เว้นที่จะส่งยิ้มทะเล้นให้นางผู้เป็นคุณหนู กู้อันเฉิงอยากดิ้นหนี อยากต่อต้าน ทว่าร่างกายไม่ได้เชื่อฟังนางเลยแม้แต่น้อย ยิ่งจิตใจด้วยแล้ว นางพยายามสั่งให้มันเต้นปกติ แต่มันก็ยังเต้นโครมครามไม่ยอมฟังคำสั่งนาง จนกระทั่งถึงรถม้าที่จอดรออยู่หน้าจวน เซวียเย่าอ๋องอุ้มนางเข้าไปวางบนตั่งภายใน “เจ้าดูแลคุณหนูของเจ้าให้ดี” กำชับถานเอ๋อร์เรียบร้อย เซวียเย่าอ๋องก็ออกจากรถ วันนี้เขาใช้ฟ้าคำรณเป็นพาหนะนำขบวน รู้สึกไม่ไว้วางใจในความปลอดภัยของหวางเฟย ที่ถูกลอบโจมตีหลายครั้ง จึงมีคำสั่งให้กู้เหวินและทหารอีกจำนวนหนึ่งขี่ม้าอารักขาอยู่ด้านหลัง กระทั่งเดินทางมาถึงหน้าประตูทางเข้าวังหลวง กู้อันเฉิงในคราบชายาเวยเซี่ยวก็ถูกอุ้มลงจากรถม้าเดินผ่านประตูเซวียนเฮ่อไปโดยไม่มีผู้ใดขัดขวางในขณะที่ถานเอ๋อร์ กู้เหวินและทหารติดตามคนอื่นๆต้องเข้าเขตพระราชฐานด้วยประตูอื่น “ทำไมพวกเขาไม่เข้าประตูนี้ด้วยกัน” กู้อันเฉิงถามด้วยความแปลกใจ “ประตูเซวียนเฮ่อ มีไว้สำหรับเชื้อพระวงศ์เท่านั้น” เซวียเย่าอ๋องตอบ เขายังอุ้มพระชายาเดินตรงไปเรื่อยๆ ไม่รีบเร่ง และไม่มีท่าทีว่าหนักหรือเหนื่อย “แต่ท่านไม่...” กู้อันเฉิงจะบอกว่า เซวียเย่าอ๋องไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ การที่เขาเข้าประตูเซวียนเฮ่อ อาจถูกมองว่าเป็นการอาจเอื้อมในสายตาคนอื่นได้ “ข้ามีบรรดาศักดิ์เป็นอ๋อง ศักดิ์และฐานะเหนือกว่าองค์ชายที่เป็นเชื้อพระวงศ์ ส่วนเจ้าเป็นหวางเฟยของข้าก็ย่อมมีสิทธิ์ผ่านประตูนี้เช่นเดียวกัน” “อ้อ...” กู้อันเฉิงพยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจ นางมองไปยังอักษรที่สลักเหนือประตู เซวียนเฮ่อ ความหมายคือ ชั่วชีวิตขอรักเพียงเจ้า เห็นแล้วก็อดทอดถอนใจไม่ได้ ยิ่งเหลือบมองปลายคางเขียวครึ้มที่มีไรเคราขึ้นจาง ๆ ของเซวียเย่าอ๋องแล้ว ก็ยิ่งทำให้คิดว่า ระหว่างเขากับนางโอกาสที่จะเป็นไปตามความหมายของชื่อประตูนั้นจะมีบ้างไหมหนอ “เจิ้นเป่ยอ๋องพร้อมเจิ้นเป่ยหวางเฟยมาถึงแล้ว” เสียงขันทีหลวงตะโกนรายงาน ทำให้หลายคนที่มาถึงศาลาหลังใหญ่กลางสระบัวก่อนต่างหันไปมองที่จุดเดียว เมื่อเห็นเจิ้นเป่ยหวางเฟยในอ้อมแขนของเจิ้นเป่ยอ๋อง ล้วนมีความรู้สึกนึกคิดแตกต่างกันออกไป “ถวายบังคมฝ่าบาท ฮองเฮา เซวียกุ้ยเฟย” เซวียเย่าอ๋องทำความเคารพ หลังวางพระชายายังสถานที่ที่จัดเตรียมไว้ ด้วยท่าทีที่ใครเห็นต่างก็รับรู้ถึงความรักใคร่ทะนุถนอมที่เซวียเย่าอ๋องมีต่อหวางเฟย ยังความอิจฉาตาร้อนแก่สตรีหลายนางที่นั่งอยู่ภายใต้ศาลาพักร้อนแห่งนั้น โดยเฉพาะองค์หญิงแคว้นซีฉู่ที่นั่งอยู่ก่อน ความอิจฉาริษยาที่สะท้อนออกมาจากแววตานั้นแทบแผดเผาศาลาเปี่ยมสุขแห่งนี้ให้มอดไหม้เป็นเถ้า “อาการของเจิ้นเป่ยหวางเฟยเป็นเช่นไรบ้าง จำเป็นต้องเลื่อนการประลองไปวันอื่นหรือไม่” จักรพรรดิต้าโจวตรัสถามคล้ายจะห่วงใย ทว่าสีหน้าและแววตากลับไม่เป็นเช่นนั้น “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่มีน้ำพระทัยห่วงใยเจิ้นเป่ยหวางเฟย อาการเจ็บที่เข่าของนางดีขึ้นมากแล้ว” เซวียเย่าอ๋องเอ่ยตอบแทนชายา “หากดีขึ้นมาก ไฉนท่านอ๋องยังโอบอุ้มนางมาเข้าเฝ้า ไม่เห็นขนบธรรมเนียมอยู่ในสายตา” ฉู่ฉิงเหยียนบังอาจเอ่ยแทรกการสนทนา ฉู่หลานได้แต่คอยใช้สายตาห้ามปราม นึกกลัวว่าความดื้อรั้นของน้องสาวจะทำให้เสียการใหญ่ “เรียนองค์หญิง อาการบาดเจ็บที่เข่าของหม่อนฉันดีขึ้นจริงเพคะ ทว่ายังไม่หาย ยังไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนด้วยตัวเองได้ โชคดีที่หม่อมฉันได้สามีประเสริฐ ท่านอ๋องมิวางใจให้ใครคอยช่วยเหลือนอกจากตัวท่านอ๋องเอง หม่อมฉันมิได้มีเจตนาที่จะเมินเฉยต่อกฎระเบียบขนบธรรมเนียมแม้แต่น้อย” กู้อันเฉิงหันไปทูลองค์หญิงที่นับวันยิ่งแสดงออกว่าจงเกลียดจงชังนางอย่างออกนอกหน้า “เอาเถอะ เจิ้นเป่ยหวางเฟยไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว เราเองก็ไม่อยากให้เกมการประลองยืดเยื้อ เอาเป็นว่าเริ่มกันเลยเถอะ” จักรพรรดิเทียนฮุยตรัสก่อนหันไปพยักหน้าให้ขันทีคนสนิทนำโต๊ะพร้อมกระดานหมากล้อมมาวางที่กลางศาลาหน้าแท่นประทับ ในระยะที่ฮ่องเต้สามารถมองเห็นการเดินหมากได้ชัดถนัดตา องค์หญิงใหญ่แห่งซีฉู่ลุกจากที่นั่งเดิม นางทำความเคารพฮ่องเต้ต้าโจวก่อนจะเดินไปนั่งยังฝั่งหนึ่งของโต๊ะหมากล้อม ในขณะที่เซวียเย่าอ๋องอุ้มกู้อันเฉิงมาวางไว้ยังที่นั่งในฝั่งตรงข้าม เมื่อคู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่ายประจำที่นั่งเรียบร้อย การเสี่ยงทายว่าฝ่ายใดได้หมากดำหรือขาวเริ่มต้นขึ้น ฉู่ฉิงเหยียนเพราะอายุมากกว่าเจิ้นเป่ยหวางเฟยและยังนั่งอยู่ฝั่งหมากขาวนางจึงรับหน้าที่เสี่ยงโดยการเปิดกระปุกกำหมากออกมาจำนวนหนึ่ง ให้กู่อันเฉิงทาย กู้อันเฉิงวางหมากสีดำลงไปสองเม็ด เป็นการเสี่ยงทายว่าให้มือองค์หญิงใหญ่มีหมากจำนวนคู่ เมื่อฉู่ฉิงเหยียนวางหมากในกำมือลงก็ตัดสินได้ทันทีว่ากู้อันเฉิงทายถูก หมากในมือของฉู่ฉิงเหยียนมีสี่เม็ดกู้อันเฉิงจึงได้สิทธิ์ในการใช้หมากดำ และเป็นฝ่ายเริ่มวางหมากก่อน กู้อันเฉิงวางหมากดำลงบนจุดดาวด้านขวาของฝั่งนาง ถือว่าเป็นการให้เกียรติองค์หญิงฉู่ฉิงเหยียนตามมารยาทของนักเล่นหมากล้อมโดยทั่วไป ทว่าฉู่ฉิงเหยียนกลับวางหมากลงบนจุดดาวของฝั่งตรงข้ามเปิดฉากจู่โจมในทันที การวางหมากดำเนินไปอย่างต่อเนื่องอีกฝ่ายรุกอีกฝ่ายรับ ฉู่ฉิงเหยียนบุกโจมตีคู่แข่งไม่มียั้งมือนางคุ้นเคยกับการเดินหมากแบบกระหายเลือด มองดูแล้วนางคงเตรียมการที่จะกำหลาบฝ่ายศัตรูให้สิ้นซาก วิธีนี้ทำให้หมากดำของกู้อันเฉิงขาดไปสองตอน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการฉู่ฉิงเหยียนยังคงเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบด้วยประสบการณ์การเล่นหมากล้อมมายาวนานกว่า ฉู่ฉิงเหยียนทอดหมากครั้งที่สี่สิบเก้ารุกเข้าในฝั่งหมากดำ เริ่มเปิดศึกแรกขึ้นแล้ว อาจเพราะนางเห็นท่าทีของเวยเซี่ยวสงบนิ่งเกินไปจึงอดใจต่อไม่ไหวรีบรุกไม่มีถอย ยิ่งอีกฝ่ายทำเหมือนตั้งรับอย่างเดียว องค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นซีฉู่ยิ่งได้ใจ บุกตะลุยไปยังฝั่งตรงข้ามด้วยกำลังที่มีอยู่ทั้งหมด คำว่าออมมือไม่มีอยู่ในหัวของนาง “นี่...ตอนนี้เป็นเช่นไร ท่านคิดว่า เจิ้นเป่ยหวางเฟยจะชนะมั้ย” เสียงวิพากษ์วิจารณ์การเดินหมากของเหล่าเสนาอำมาตย์ดังอื้ออึงอยู่ภายนอกศาลา เมื่อชมการเดินหมากต่อสู้จากกระดานหมากล้อมขนาดใหญ่ที่ทำขึ้นพิเศษมีขันทีเป็นผู้ถ่ายทอดมาอีกต่อหนึ่ง “พูดยากนะ ทั้งองค์หญิงใหญ่และเจิ้นเป่ยหวางเฟย ต่างไม่มีใครยอมใคร ล้วนเป็นผู้เล่นที่มีฝีมือดีทั้งคู่ ยิ่งองค์หญิงแคว้นซีฉู่แล้วนางเล่นได้ดุดันมาก เห็นแบบนี้แล้วข้านึกอยากให้มีหัวข้อแข่งขันเพิ่มขึ้นอีกหลายๆข้อ จะได้มีเรื่องสนุกๆ ให้ดูต่อ” “แต่ว่าตอนนี้นางยังเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่มากเลยนะข้ามองเห็นแต่หมากขาวขาวโพลนไปทั้งกระดาน ดูทางด้านเจิ้นเป่ยหวางเฟยสิ หมากดำล่างซ้ายมือใกล้จะจนมุมเต็มทีแล้ว” “จะว่าไปฝั่งพระชายาเดินหมากได้ค่อนข้างเฉียบคมอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน วางหมากไม่กี่กระบวนท่ามกลางหมากขาวที่ล้อมอยู่ ไม่นานก็ฝ่าวงล้อมออกมาได้แล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าบุตรีท่านมหาเสนาบดีเฉินกวงหมิงจะมีความสามารถด้านการเดินหมากเช่นนี้ เห็นทีไอ้ข่าวลือที่เคยได้ยินมาพวกนั้นคงเป็นที่ผู้ไม่หวังดีปล่อยออกมาเพื่อหวังทำลายชื่อเสียงของนางเป็นแน่” อัครเสนาบดีเฉินยืนฟังอยู่เงียบๆ สายตาไม่ละไปจากกระดานหมากที่มีขันทีสองคนต่างช่วยกันวางเบี้ยดำขาวสลับกัน ตามคำบอกของขันทีที่สังเกตการอยู่ใต้ชายคาศาลา ในใจล้วนมีแต่สิ่งคาดไม่ถึง และไม่อยากเชื่อสายตา สตรีผู้ที่ใครๆต่างเรียกขานนามว่า เจิ้นเป่ยหวางเฟยคนนั้นคือธิดาผู้ไม่เอาไหนของเขาแท้จริงหรือ ในขณะที่เซวียเย่าอ๋องมองดูการเดินหมากของคนทั้งสองแล้วคิ้วรูปดาบของเขาก็ต้องขมวดเข้าหากันด้วยท่าทีครุ่นคิด การเดินหมากขององค์หญิงฉู่ที่อำมหิตและเลือดเย็นนั้นเขาไม่รู้สึกแปลกใจ ในเมื่อหวังจะเอาชนะให้ขาดลอย ยังไงก็ต้องใช้วิธีที่เฉียบขาดไม่เยินเย่อ ทว่าวิธีการเดินหมากของเฉินเวยเซี่ยวนี่สิมันช่างคุ้นตายิ่งนัก เหมือนว่าเขาเคยเห็นกลยุทธ์เช่นนี้มาก่อน กลยุทธ์หลอกล่อให้ศัตรูได้ใจบุกตะลุยเข้าสู่หลุมกับดักขนาดใหญ่แล้วใช้หมากดำเพียงไม่กี่ตัวตีตลบหลังก็สามารถเก็บหมากขาวออกจากกระดานไปกว่าครึ่ง สุดท้ายเส้นทางหนีล้วนถูกปิดตายทุกทาง ภายนอก ขุนนางหลายคนที่ชื่นชอบการเดินหมาก เริ่มมองเห็นอะไรบางอย่างบนกระดานหมากขนาดใหญ่ตรงหน้า พออ่านเกมออกต่างตะลึงอ้าปากค้างไปตามๆกัน บางคนปรบมือฉาดใหญ่ เมื่อรู้ว่าตนคิดถูกก็รู้สึกภูมิใจหนักหนา วิเคราะห์หมากกันต่ออย่างสนุกสนาน “บางทีสิ่งที่เห็นบนกระดานอาจมีหลุมพรางซ่อนอยู่ก็ได้ใครจะรู้...นั่นไงข้าว่าแล้วหมากดำแค่สองตัวทำให้สถานการณ์พลิกผันจนได้ หมากดำเริ่มไล่บี้หมากขาวจนแทบถอยร่นไม่ทัน” “ตายราบเป็นหน้ากลองซะแล้วหมากขาว สุดท้ายก็โดนหมากดำสังหารหมู่ เช่นนี้ก็ตัดสินได้แล้วสิว่าใครแพ้ใครชนะ เหอะๆ สตรีแคว้นซีฉู่ที่ว่างามเลิศไม่มีสตรีแคว้นใดทัดเทียมแล้วยังไง เมื่อเปรียบเทียบเรื่องของสติปัญญามีหรือจะสู้สตรีต้าโจวได้ ท่านเห็นด้วยกับข้าหรือไม่” นักเลงหมากล้อมทั้งหลายต่างเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความภาคภูมิใจในสตรีแคว้นตน “ข้าเห็นด้วย ดูอย่างฮูหยินที่บ้านข้าสิ นางฉลาดเพียงใด ไม่ว่าข้าจะซ่อนอัฐไว้ที่ไหนนางยังสามารถหาค้นจนเจอ” จบเสียงสนับสนุนนี้ทุกคนในที่นั้นต่างหัวเราะครื้นเครง “ผลการประลองหมากล้อม เจิ้นเป่ยหวางเฟยเป็นฝ่ายชนะ” เสียงขันทีร้องประกาศด้วยเสียงอันดัง ได้ยินไกลมาถึงภายนอกศาลาเปี่ยมสุข หมากขาวในมือของฉู่ฉิงเหยียนพลันร่วงหล่นลงกระทบกระดานแตกกระจายไปคนละทิศทาง สมองมึนงงจนแทบไม่ได้ยินเสียงใดอีก นอกจากเสียงที่ดังก้องอยู่ในใจเวลานี้ว่านางแพ้แล้ว แพ้ให้กับสตรีที่คนทั้งแคว้นต้าโจวต่างร่ำลือว่า เฉินเวยเซี่ยวบุตรีคนรองของมหาเสนาบดีเฉินกวงหมิงแม้เป็นบุตรีที่เกิดจากภรรยาเอก ทว่านางคือคุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่ไม่เอาไหนที่สุดในแคว้น...
Create Date : 03 เมษายน 2565 |
|
3 comments |
Last Update : 3 เมษายน 2565 18:53:04 น. |
Counter : 2542 Pageviews. |
|
|
|
* Server's capacity: 230 TB MP3, FLAC, LIVESETS, Music Videos.
* Support: FTP, FTPS (File Transfer Protocol Secure), SFTP and HTTP, HTTPS.
* Account delivery time: 1 to 48 hours.
* More 15 years Of Archives.
* Overal server's speed: 1 Gb/s.
* Easy to use: Most of genres are sorted by days.