โค้ดนี้เป็นภาพพื้นหลังนำไปวางที่ช่อง Script Area ค่ะ
https://youtu.be/K2vg5yDgVX4
1 2 3 4
5 6 7 8 9 10 11
12 13 14 15 16 17 18
19 20 21 22 23 24 25
26 27 28 29 30 31
บทที่ 5
VIDEO
บทที่ 5
ณ ค่ายผู้ลี้ภัย เมื่อกลุ่มแพทย์อาสาโดยความร่วมมือจากรัฐบาลและสถานกงสุลซึ่งเป็นประเทศในแถบเอเชีย อันได้แก่ประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น และประเทศไทยกำลังทยอยขนของเข้าไปในเต้นท์ซึ่งเจ้าหน้าที่เตรียมไว้ให้ พอจัดของเข้าที่เข้าทางกลุ่มอาสามัครก็เริ่มทำงานในทันที วริสาเข้านั่งประจำที่และเริ่มตรวจอาการของผู้ลี้ภัยซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนชาวฟิลิปปินส์ ขณะกำลังนิ่งฟังจังหวะการเต้นของหัวใจ มือเรียวที่จับหูฟังแนบกับร่างกายของคนตรงหน้าก็ต้องชะงัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปยังอาสาสมัครคนอื่นๆ แล้วเลยไปยังทิศที่มีเสียงปืนกำลังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง “พี่ลีใช่เสียงปืนไหมคะ” นักศึกษาแพทย์ร่างเล็กที่อาสาเข้าร่วมโครงการเพราะต้องการมาหาประสบการณ์ขยับเข้าไปถามน้ำเสียงหวั่นวิตก “น่าจะใช่ แต่เสียงมันดังอยู่นอกค่าย และอยู่ห่างพอสมควร” หญิงสาวสันนิษฐานก่อนจะเลิกสนใจกับเสียงที่ได้ยิน แล้วหันไปตรวจคนไข้ต่อ “น่ากลัวจังเลยนะคะ” คนที่ในชีวิตไม่เคยออกห่างจากตำราและห้องเรียนพูดขณะมองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง “น้องเอมไม่ต้องกังวลนะ ที่ค่ายมีทหารดูแลอยู่ ตั้งใจทำหน้าที่ของเราไปเถอะ ส่วนเรื่องที่นอกเหนือจากหน้าที่เจ้าหน้าที่เขาคงจะจัดการกันเอง” ด้วยเดินทางไปกับหน่วยแพทย์อาสาตามชายแดนบ่อยครั้ง จึงทำให้แพทย์หญิงวริสาไม่ได้หวั่นวิตกกับเสียงปืนที่ได้ยิน นอกจากรู้สึกกังวลเกรงว่าท่ามกลางความขัดแย้งอันดุเดือดอาจมีใครได้รับบาดเจ็บ “พี่ลีไม่กลัวเสียงปืนเหรอคะ” คนที่เกิดมาเพิ่งเคยได้ยินเสียงปืนชัดๆ เป็นครั้งแรกถามด้วยสีหน้าเผือดซีดด้วยความกลัว “กลัวสิคะ แต่เมื่อยังอยู่ในหน้าที่ เราก็ต้องเก็บความกลัวเอาไว้แล้วทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ที่สุด น้องเอมไม่ต้องกลัวนะ อยู่ในที่ของเราอย่างไรก็ปลอดภัยจ๊ะ” หญิงสาวปลอบอีกฝ่ายด้วยคำพูดเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “เอมรู้ค่ะว่าเราจะปลอดภัย แต่มันก็อดตกใจไม่ได้จริงๆ” หญิงสาวเอ่ยขณะหยิบอุปกรณ์ทางการแพทย์ออกจากกล่องวางลงบนถาดแสตนเลส วริสาไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากทำหน้าที่ของตัวเองไปเงียบๆ จนกระทั่งนาทีที่ยี่สิบมีรถยนต์ขับมาด้วยความเร็ว ก่อนจะหยุดอยู่ที่หน้าเต้นท์หลังแรก ซึ่งหญิงสาวกับผู้ช่วยกำลังจดจ่ออยู่กับการตรวจอาการของผู้ลี้ภัย ภาพทหารนายหนึ่งกำลังกระโดดลงจากรถตรงดิ่งเข้าอย่างเร่งรีบ ในขณะล่ามวิ่งออกไปสอบถาม ทำให้เธอละมือจากการตรวจคนไข้แล้วขยับลุกขึ้น “มีอะไรหรือคะ” หญิงสาวถามเมื่อล่ามชาวฝรั่งเศสเดินตรงดิ่งเข้ามา “มีคนถูกยิงได้รับบาดเจ็บค่ะหมอ” ล่ามตอบพร้อมกับกวาดตามองไปรอบๆ “เราจำเป็นต้องช่วยผ่าเอากระสุนออกหมอมีเครื่องมือพร้อมไหมคะ” “มีค่ะ เดี๋ยวฉันขอเคลียร์โต๊ะก่อนอีกสักครู่ค่อยให้เขาพาคนเจ็บเข้ามา” หญิงสาวตอบพร้อมกับออกคำสั่งให้คนจัดสถานที่เพื่อรองรับการผ่าตัด ด้วยประสบการณ์และความชำนาญรวมถึงความพร้อมด้านเครื่องมือ จึงทำให้การเนรมิตห้องผ่าตัดแบบเร่งด่วนเป็นไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากทำงานแข่งกับเวลาอยู่เป็นประจำ จึงทำให้ไม่ถึงอึดใจแพทย์หญิงวริสาก็ปรากฏตัวอยู่ในชุดพร้อมให้การรักษาคนเจ็บ หญิงสาวเดินเข้าไปยังโต๊ะที่ถูกเปลี่ยนเป็นเตียงผ่าตัดชั่วคราว ขณะหันไปตรวจเครื่องมือทหารก็หามคนเจ็บขึ้นไปนอนบนนั้นแล้วกลับออกไปเมื่อหมดหน้าที่ ระหว่างนั้นเธอก็เริ่มออกคำสั่งผู้ช่วยด้วยภาษาไทย ...เธอเป็นคนไทยหรอกหรือ...คนที่กำลังนอนกัดฟันข่มความเจ็บปวดนิ่งฟังการสื่อสาร ของคนที่กำลังยื่นมือเข้ามาช่วยชีวิตของเขาอย่างสนใจ... “คนไข้เป็นอย่างไรบ้างคะ หญิงสาวถามล่ามขณะสวมถุงมือแล้วหมุนตัวกลับมา ชยิน...ถึงกับเบิกตาโพลงจนลืมความเจ็บปวด เมื่อเห็นใบหน้าของหมอที่กำลังจ้องเขาด้วยความตื่นตะลึง คุณพระช่วย! นี่อย่าบอกนะว่าอาการของเขาถึงขึ้นโคม่า จนสายตาพล่าเลือนขนาดเห็นหน้าใครก็เป็นหมอวริสาไปหมด ชายหนุ่มมองความบังเอิญชนิดคาดไม่ถึงอย่างไม่คิดเชื่อ “ผมถูกยิง” ชยินตอบคำถามแทนล่าม ขณะสายตายังจับนิ่งอยู่ที่ใบหน้าของผู้หญิงที่เขาวิ่งไล่ล่าจนเป็นบ้าเป็นหลังมาหลายอาทิตย์ วริสายืนตัวแข็งทื่อราวกับคนถูกสาป ในขณะมองผู้ชายที่วิ่งวนอยู่ในมโนสำนึกทั้งยามหลับและยามตื่นตรงหน้าด้วยหัวใจไหวระรัว หญิงสาวพยายามบอกตัวเองให้มีสมาธิ ทว่าความตื้นตันยินดีอย่างไม่อาจระงับไว้ได้ก็ทำให้สมาธิของเธอถูกรบกวนอย่างหนัก แต่กระนั้นร่างอรชรก็ก้าวเข้าไปหาคนที่นอนรอรับการรักษา ด้วยท่วงท่าที่พยายามปรับให้ดูมั่นคงมากที่สุด แม้เวลานี้หัวใจกำลังเต้นแรงและประหม่ากับสายตาที่จ้องมองอย่างไม่เกรงใจ แต่วริสาก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อหยิบหน้ากากอนามัยขึ้นสวม ทำให้ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเธอถูกปกปิดไว้ ดวงตาคู่สวยมองเสี้ยวหน้าคมคายแล้วไล่ไปตามร่างกายซึ่งมีเลือดสีแดงฉานไหลซึมออกมาจนเสื้อผ้าจนเปียกชุ่ม มือเรียวหยิบกรรไกรตัดเสื้อออกอย่างเบามือ ขณะสำรวจบาดแผลและประเมินอาการบาดเจ็บของคนตรงหน้า คนที่หัวใจกำลังอ่อนระทวยไปกับดวงตาคมกริบที่จ้องมองมาราวกับจะหลอมละลายร่างกายของเธอ พยายามสลัดความฟุ้งซ่านออกไป แล้วเริ่มลงมือรักษาคนที่นอนลืมเจ็บหลังเรียกสมาธิที่กระจัดกระจายกลับมาได้สำเร็จ เมื่ออยู่ในหน้าที่วริสาไม่ได้ให้ความสนใจกับอะไรอีก นอกจากมุ่งมั่นกับการรักษาอาการบาดเจ็บของคนที่นอนจ้องเธออย่างเอาเป็นเอาตายชนิดแทบไม่กะพริบตา ด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ครบครันรวมถึงอาสาสมัครมีความคล่องตัวสูง จึงทำให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างราบรื่น หลังผ่าตัดนำกระสุนซึ่งฝังในอยู่สองนัดออกจากร่างแกร่งกำยำ ระหว่างทำแผลเธอลอบมองใบหน้าเผือดซีดของชายหนุ่มอยู่บ่อยครั้ง ด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใยที่พยายามปกปิดไว้ให้มิดชิด... ชยินมองเสี้ยวหน้างดงามอย่างสับสน ด้วยมองไม่เห็นถึงความเป็นไปได้ชายหนุ่มจึงคิดว่าสิ่งที่กำลังเผชิญ แท้จริงแล้วมันอาจจะเป็นเพียงแค่ความฝันหรืออาจเกิดจากมโนภาพที่จิตใต้สำนึกสร้างขึ้นมา แต่อาการเจ็บหนึบจากบาดแผลก็ช่วยรับรองได้ว่าทุกอย่างที่กำลังดำเนินอยู่มันคือความจริงหาใช่ความฝัน “หมอ...” ชายหนุ่มเรียกเธอเสียงแผ่ว “มีอะไรหรือคะ” หญิงสาวถามแล้วมองหน้าเขาอย่างจดจ่อกับคำตอบ “ช่วยบอกได้ไหมว่าเวลานี้ผมกำลังฝันไปหรือเปล่า” หลังผู้ช่วยของเธอเดินออกไปจากห้องซึ่งถูกกั้นไว้ชั่วคราว จนเหลือเพียงเขาและเธอ ชยินจึงเอ่ยคำถามคาใจออกไป “แล้วคุณคิดว่ามันเป็นความฝันหรือความจริงละคะ” “ผมอยากให้คุณอยู่ที่นี่จริงๆ...แต่ก็กลัวว่ามันจะเป็นแค่ความฝัน” กระแสเสียงเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นนั้นทำให้หญิงสาวมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ “ฉันอยู่ที่นี่จริงๆ ค่ะ คุณไม่ได้ฝัน” น้ำเสียงอ่อนโยนของคนตอบทำให้ คนจดจ่อรอฟังรับรู้ได้ถึงรอยยิ้มที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากอนามัยนั้น “คุณมานี่ได้ยังไง...รู้ไหมว่าผม...” ชยินหยุดพูดแล้วชั่งใจว่าควรเล่าให้เธอฟังไหมว่าเขาไปหาเธอที่เมืองไทย และแอฟริกา “ฉันไม่รู้หรอกค่ะว่าคุณอยู่ที่นี่” เมื่ออีกฝ่ายหยุดเล่าไปดื้อๆ หญิงสาวจึงปลดหน้ากากอนามัยออกช่วยพูดต่อหากเป็นความเข้าใจคนละเรื่อง ก่อนจะเล่าถึงที่มาที่ไป “คุณแม่ของหมอณภัสจัดทำโครงการแพทย์อาสาช่วยเหลือกลุ่มผู้ลี้ภัยนี้ขึ้นมา ฉันก็เลยอาสามาช่วยท่าน ว่าแต่คุณพักอยู่ที่ค่ายนี้เหรอคะ” คำถามของหญิงสาวทำให้ชยินผุดความคิดบางอย่างขึ้นมา “เอ่อ...ครับ” เพราะต้องการรู้ว่าหากเขาอยู่ในฐานะผู้ลี้ภัย เธอจะรู้สึกอย่างไรชายหนุ่มจึงตอบรับขณะมองปฏิกิริยาของหญิงสาวว่าเปลี่ยนไปจากเดิมมากน้อยแค่ไหน “ฉันไม่เคยรู้เลยว่าคุณถูกส่งมาที่นี่” น้ำเสียงและสีหน้าของวริสาที่มองเขาอย่างไม่นึกรังเกียจกับสถานะอันต่ำต้อยนั้น ทำให้คนอยากลองใจรู้สึกพอใจอยู่ลึกๆ แม้ไม่รู้ว่าความอารีย์ในสายตาของหญิงสาวแท้จริงแล้วเกิดจากอุปนิสัยของเธอ หรือเป็นเพราะเธอให้ความพิเศษต่อเขา แต่มันก็ให้ชายหนุ่มรู้สึกอบอุ่นหัวใจได้อย่างน่าอัศจรรย์ “คุณสบายดีใช่ไหมหมอ...” ชยินเฝ้ารอคำตอบทั้งๆ รู้ดีว่าคนตรงหน้ามีความเป็นอยู่เช่นไร “ฉันสบายดี ส่วนคุณคงไม่ต้องถามนะคะ” ดวงตาคมกริบมองรอยยิ้มที่คลี่ออกจากริมฝีปากสีหวานด้วยความลุ่มหลง “เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาผมรู้สึกไม่สบายเอาเสียเลย แต่น่าแปลกนะครับที่เวลานี้ผมรู้สึกสบายดี” “อยู่ที่นี่คุณคงลำบากมาก ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยไม่ต้องเกรงใจนะคะ” ชยินมองแววตาอ่อนโยนของเธอด้วยความรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก แม้พอรู้ว่าโดยวิสัยของหมอวริสาเธอเป็นคนเห็นอกเห็นใจคนอื่น แต่เขาก็รับรู้ถึงประกายบางอย่างในยามที่เธอมองมาอย่างลึกซึ้งนั้นได้ “หมอ...รู้ไหมว่าผม...” ขณะกำลังจะสารภาพว่าเขารักเธอ และได้ออกติดตามเธอไปไกลถึงแอฟริกา อยู่ๆ ซาเยร์ก็โผล่พรวดเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “ผู้กอง! เป็นยังไงบ้าง” คนที่เพิ่งโผล่เข้ามาทำลายบรรยากาศอย่างไม่ตั้งใจถามพร้อมกับพุ่งเข้าไปหาผู้เป็นนายทันที “แล้วแกเห็นฉันเป็นยังไงล่ะ” ชยินตอบกลับเสียงขุ่น “อ้าว...ผู้กองไม่ดีใจเหรอครับที่เจอผม” สีหน้าของคนพูดเปล่งประกายผิดหวังเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าสายตามองมา แทนที่จะเป็นความยินดีกลับกลายเป็นคาดโทษเสียอย่างนั้น “ฉันจะดีใจมากถ้าแกจะโผล่เข้ามาหลังจากนี้สักสองนาที” “อาการของคุณปลอดภัยแล้ว เดี๋ยวฉันจัดยาเสร็จจะให้คนเอามาให้ รวมถึงให้คำแนะนำว่าคุณต้องทำอย่างไรระหว่างพักฟื้น และช่วงนี้คงต้องมาล้างแผลที่นี่ทุกวัน ฉันขอตัวก่อนนะคะ” พอเห็นว่าหมดหน้าที่ และเธอควรกลับไปทำงานต่อหญิงสาวจึงเอ่ยขอตัว พอได้ยินบทสนทนาด้วยภาษาไทย ซาเยร์ที่ไม่ได้สนใจใคร นอกจากเจ้านายของเขาจึงหันขวับไปทางต้นเสียง ก่อนจะเบิกตากว้าง แล้วร้อง เฮ้ย! เสียงดังลั่น... “ผู้กอง...ผู้กอง...ผู้กอง!” ด้วยความตกตะลึงกับภาพตรงหน้าซาเยร์จึงตะโกนเรียกเจ้านาย ขณะยังจ้องเรือนร่างอรชรที่เดินพ้นจากฉากกั้นไปด้วยสีหน้าตื่นตระหนกราวกับคนเพิ่งถูกผีหลอกตอนกลางวัน “อะไร!” ชยินตะคอกด้วยระดับเสียงที่ดังพอกันอย่างรำคาญ “มะ...มะ...หมอ...หมอ...ครับผู้กอง” ด้วยความตื่นเต้นซาเยร์ถึงกับพูดติดอ่าง “ฉันเห็นแล้ว” “ใช่หมอจริงๆ ใช่ไหมครับผู้กอง” ถามพลางชี้มือไปยังทิศทางที่หญิงสาวเพิ่งเดินลับตาไป “ใช่...เป็นเธอ” ชยินตอบคำถามนั้น แล้วยิ้มอย่างสุขใจให้กับความบังเอิญ ที่เขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อน ดวงตาที่เปล่งประกายเรืองรองด้วยความหวังมองผ่านฉากกั้นไปยังใครคนหนึ่งซึ่งเขาเห็นอยู่เลือนราง...แล้วเบนกลับมาจ้องหน้าคนสนิท “ไม่อยากเชื่อเลยว่าในขณะที่พวกเราตามหาเธออย่างเป็นบ้าเป็นหลัง เธอกลับหนีห่างจนแทบจะพลิกแผ่นดินตามหา แต่สุดท้ายเธอกลับอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก” ซาเยร์เอ่ยขึ้นเบาๆ “บางทีมันอาจจะถึงเวลาของฉันแล้วก็ได้ ซาเยร์มานี่สิ” ชยินมองความบังเอิญที่เขาเพิ่งได้รับว่าเป็นพรหมลิขิต ก่อนจะขยับลุกนั่ง โดยมีคนสนิทช่วยประคอง “ผู้กองมีอะไรหรือครับ” “ฉันอยากให้แกหาที่พักในค่ายให้สักหน่อย” ชายหนุ่มออกคำสั่งขณะผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “อะไรนะครับ” ถามย้ำอย่างไม่แน่ใจกับคำสั่ง “ฉันต้องการที่พักในค่ายนี้” “แต่ผู้กองกำลังได้รับบาดเจ็บนะครับ” “อาการบาดเจ็บของฉัน มันไม่ใช่ปัญหาของแก” “ใครว่าไม่ใช่...อาการบาดเจ็บของผู้กองมันเกี่ยวข้องกับผมเต็มๆ เลย” “เอาเถอะน่า ฉันรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ แกมีหน้าที่แค่ทำตามความต้องการก็รีบไปจัดการซะ” ตัดบทพร้อมกับออกคำสั่งเสียงเข้ม “แต่มันเสี่ยงนะครับผู้กอง” “จะเสี่ยงยังไงในเมื่อฉันมีหมออยู่ใกล้ๆ ” คำตอบนั้นทำให้คนที่กังวลกับอาการบาดเจ็บของผู้เป็นนาย พยักหน้าแล้วร้องอ้อ...เหมือนเพิ่งนึกได้ “ผมเข้าใจแล้วครับ” แม้จะเป็นห่วงแต่เมื่อเห็นว่าภายในค่ายมีหมออย่างที่อีกฝ่ายอ้าง คนที่ไม่อยากขัดใจเจ้านายจึงยอมทำตามอย่างว่าง่าย “เออ...ซาเยร์ได้ตัวไอ้ลูกหมาพวกนั้นไหม” “ได้แต่ศพครับผู้กอง” ตอบขณะจ้องผ้าพันแผลบนร่างกายแกร่งกำยำตรงหน้าอย่างสำนึกผิดแล้วพูดต่อ “ผู้กองไม่น่าเอาชีวิตที่มีค่ามากมายมาแลกกับกระสุนพวกนั้นแทนคนที่ไม่มีค่าอย่างผมเลย” “ใครว่าแกไม่มีค่า คนเราทุกคนต่างก็มีคุณค่าในตัวเองกันทั้งนั้น เราสองคนร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมานับครั้งไม่ถ้วน กับเรื่องแค่นี้สำหรับฉันมันไม่ได้หนักหนาเลยสักนิด” ชยินวางมือลงบนหัวไหล่ที่ลู่ลงแล้วตบเบาๆ “แต่ผมก็รู้สึกผิดอยู่ดีที่ไม่สามารถทำหน้าที่ปกป้องผู้กองให้สมกับความไว้วางใจที่ได้รับ” “แกทำดีที่สุดแล้ว และฉันเชื่อว่าหากแกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน แกก็คงไม่ลังเลที่จะแลกชีวิตเช่นกัน” ชายหนุ่มปลอบใจคนสนิทด้วยคำพูดที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย “แต่...” “เลิกคิดว่าเป็นความผิดของตัวเองได้แล้ว เพราะอย่างน้อยการที่ฉันบาดเจ็บมันก็ทำให้ฉันได้พบหมอ จะว่าไปก็ต้องขอบใจคนของไอ้ลอซู ที่เปลี่ยนจากมัจุราชมาเป็นกามเทพ ถ้าไอ้พวกสารเลวนั่นไม่ตายฉันคิดว่าน่าจะมอบรางวัลให้พวกมันสักหน่อย” “นับว่าโชคยังอยู่ข้างเราที่วันนี้มีหน่วยแพทย์อาสามาพอดี” “แต่ฉันคิดว่าตัวเองโชคดีมากกว่านั้น และจะดีมากถ้าแกจะช่วยไปจัดการเรื่องที่พักให้ฉัน” พูดพร้อมกับยิ้มกริ่มอย่างเป็นสุข “ผมประสานกับเจ้าหน้าที่เรื่องไอ้ห้าคนนั่น จากการตรวจสอบพบว่ามันแทรกซึมอยู่ในค่ายนี่มาประมาณสามเดือน และดูเหมือนจะยังมีคนของพวกมันแฝงอยู่ในนี้อีกจำนวนหนึ่ง ผมว่าผู้กองอย่าเสี่ยงเลย” ซาเยร์แนะนำอย่างรอบคอบ “ฉันตั้งใจแล้วอย่างไรก็คงไม่เปลี่ยนใจ” ชายหนุ่มยังคงยืนกราน “ผู้กองจะอยากอยู่ในที่แออัดหาความสะดวกสบายไม่ได้แบบนี้ไปทำไม” คนที่มองไม่ออกถึงจุดประสงค์อันแท้จริงอดแย้งขึ้นไม่ได้ “ฉันต้องการรู้ว่าถ้าหมอลีเห็นสภาพของฉันซึ่งไร้บ้านไร้แผ่นดิน เธอจะยังรักฉันไหม” ชยินมองไปรอบๆ แล้วบอกเสียงกระซิบ “อ้าว...ผู้กองต้องการลองใจเธอหรอกเหรอครับ” “ใช่...” “ผู้กองบ้าหรือเปล่า...” ซาเยร์มองหน้าผู้เป็นนายอย่างไม่เห็นด้วยกับความคิดนั้น “อะไรทำให้แกคิดแบบนั้น” “มันไร้สาระมากเลยนะครับกับความคิดนี้” “มันไร้สาระตรงไหน” คนที่มองเห็นแต่ความต้องการของตัวเองเพียงด้านเดียวถามเสียงห้วน “ผมขอเตือนนะผู้กองว่าการลองใจแม้จะทำให้รับรู้ถึงความจริงใจของเธอ แต่ในทางกลับกันผมมองว่ามันไม่คุ้มเลยสักนิดกับผลกระทบที่จะตามมาหลังจากนั้น” แนะนำด้วยสีหน้าจริงจัง “ผลกระทบอะไร” ถามขณะจ้องหน้าคนตอบเขม็ง “ผลกระทบจากการหลอกลวงอย่างไรละครับ ผู้กองประมาทความรู้สึกของผู้หญิงเกินไป” “แกคิดมากไปหรือเปล่าซาเยร์ จริงอยู่ที่ฉันอาจจะกำลังหลอกลวงเธอ แต่มันก็เป็นการดีไม่ใช่เหรอหากสิ่งที่ฉันต้องการพิสูจน์มันคือความจริงใจ” ชายหนุ่มยังคงคิดเข้าข้างตัวเอง “ผมเตือนผู้กองแล้วนะ” “เอาน่า...ถ้าเกิดมันเป็นอย่างที่แกกังวลฉันก็มีวิธีแก้ไข เชื่อใจกันบ้างสิ” “โธ่...ผู้กองจะให้ผมเชื่อใจคนที่ในชีวิตไม่เคยพิชิตใจหญิงเนี่ยนะ บอกตามตรงมันอดห่วงไม่ได้จริงๆ” คนที่คร่ำหวอดกับความรักมามากกว่าบอกออกไปตรงๆ “เอาน่าฉันสั่งอะไรก็ไปทำ” ชยินตัดบทอย่างรำคาญ “แต่ยังไงผมก็ยังยืนยันอยากให้ผู้กองเปลี่ยนความคิด แล้วทำอะไรให้มันสร้างสรรค์กว่านี้อยู่ดี” แม้จะไม่เห็นด้วย แต่เมื่อชยินยืนยันตามความคิดเดิมเขาจึงพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น เมื่อห้ามแล้วอีกฝ่ายไม่ฟังซาเยร์จึงได้แต่ส่ายหน้าให้กับความดื้อรั้นนั้น ก่อนจะเดินออกจากเต้นท์ไปทำตามความประสงค์ของผู้เป็นนายอย่างไม่เต็มใจ ในขณะนึกถึงความซวยที่จะต้องมาเยือนหากคุณหมอคนสวยรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังใช้วิธีปัญญาอ่อนลองใจเธอ... เฮ้อ...หวังว่าความตั้งอกตั้งใจรวมถึงความรักอย่างแรงกล้าของผู้กองชยิน จะทำให้แพทย์หญิงวริสาไม่นึกถือสากับ การกระทำอันโง่เขลานั้น...ชายหนุ่มภาวนา
Create Date : 13 พฤษภาคม 2562
3 comments
Last Update : 13 พฤษภาคม 2562 14:20:02 น.
Counter : 4441 Pageviews.
โดย: Catherinadip IP: 84.17.60.66 27 กุมภาพันธ์ 2565 20:51:30 น.
โดย: IsabellaRex IP: 37.19.223.27 30 เมษายน 2565 17:40:57 น.
โดย: ElenaRex IP: 191.96.168.55 5 พฤษภาคม 2565 2:56:14 น.
ut m sister fund nie man hre nd te mrrid, so how but m?! :)
I m 26 ers ld, Catherin, frm Romani, know English and Russin languags lso
nd... I have sific disase, named nymomni. Wo know wt is this, cn understnd me (btter to sy it immediatly)
s, I ook vr tasty! and I lv not nl cook ;))
Im rl girl, nt prstitute, and loking for serius and t reltionship...
Anwy, ou n find m prfile here: //eskarlatero.tk/user/123149