"กีฬาเป็นเรื่องราวที่เล่าขานกันมา สิ่งซึ่งทำให้เรารู้สึกตรึงตาตรึงใจไม่ใช่เป็นเพียงการแพ้ชนะเท่านั้น แต่คือเรื่องราว เรื่องราวแห่งความไม่ย่อท้อ เรื่องราวแห่งความมุ่งมั่น เรื่องราวแห่งการมุมานะ เรื่องราวของหัวใจที่แตกสลาย เรื่องราวของความมหัศจรรย์ เรื่องราวของชัยชนะและโศกนาฏกรรม ... " คลิป อาร์นสไตล์ ตัวละครในเล่มสามได้กล่าวไว้
เล่มสี่ เล่มนี้ที่รอคอย และคุ้มค่าแก่การรอคอย
ลินดา โคลเดรน นักกอล์ฟหญิงมือวางอันดับหนึ่งของโลก เป็นภรรยาของ แจ็ค โคลเดรน เขาเป็นนักกอล์ฟด้วยเหมือนกัน ในอดีตแจ็คเคยพลาดแชมป์ยูเอสโอเพ่นรอบสุดท้ายไปอย่างมีเงื่อนงำ และใช้เวลาทั้งชีวิตในอีกยี่สิบสามปีต่อมาเพื่อรอโอกาสที่จะเป็นแชมป์ให้ได้อีกครั้ง วันที่เขารอคอยกำลังจะมาถึงเมื่อได้ขึ้นนำในการแข่งขันเอสโอเพ่นรอบสุดท้ายที่สนามเมอเรียน แม้จะมี แท้ด คริสปิน นักกอล์ฟรุ่นใหม่ดาวรุ่งพุ่งแรงที่ใครๆ ต่างก็กำลังหมายตาเข้าสังกัด (ไมรอนเองก็น้ำลายแทบหก) พยายามจะตีตื้นไล่หลังมา แจ็คก็ยังนำห่างอยู่ถึงแปดสโตรก แต่ขณะที่การแข่งขันยังไม่ทันเสร็จสิ้นนั่นเอง ฝันร้ายของแจ็คกับการพลาดตำแหน่งแชมป์ก็กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง
แช้ด โคลเดรน ลูกชายวัยสิบหกปีของเขากับลินดา ถูกลักพาตัว
แล้วมันใช่เรื่องของไมรอนไหมเล่า ตำรวจก็ไม่ใช่ นักสืบก็ไม่เชิง .. แต่เมื่อได้รับการติดต่อให้มาสืบหาตัวแช้ดอย่างเป็นความลับ ไมรอน โบลิทาร์ เป็นพ่อยอดชายใจดีผู้มีอุปนิสัยฮีโร่ ทนเห็นคนอื่นเดือดร้อนไม่ได้ ทนอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ ทนค้างคาใจก็ไม่ได้ด้วยเหมือนกัน ลองว่าได้แหย่ขาลงไปข้างหนึ่ง อีกข้างก็พร้อมกระโจนจมลงไป แต่การสืบเรื่องราวครั้งนี้จะมีความแตกต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมา
"งั้นนายก็รู้แล้วสิว่าฉันจะไม่ช่วย"
"ไม่รู้"
วินนั่งเอนหลัง ประกบนิ้วเข้าด้วยกัน "งั้นตอนนี้ก็รู้แล้ว"
"เด็กผู้ชายคนนี้อาจจะตกอยู่ในอันตราย" ไมรอนบอก " เราน่าจะช่วยเขาสักหน่อย"
"ไม่" วินว่า " ฉันไม่ช่วย"
----
"โจรเรียกถ่าไถ่โทรมา"
"ก็ได้ยินอย่างนั้นเหมือนกัน"
"นายช่วยตามเรื่องนี้ให้หน่อยได้ไหม"
"ไม่"
คำตอบชัดนะ! คำสามคำ 'วินไม่ช่วย' จะนำไปสู่คำอีกสามคำ 'โลกของวิน' ที่ยิ่งทำให้รู้ซึ้งว่าวินเป็นคนเด็ดขาดเย็นชาล้ำลึกขนาดไหน ลองว่าได้หันหลังให้กับใครแล้ว ยากที่จะเหลียวแลกลับมา ไมรอนเองก็รู้ดีว่าเขาไม่สามารถจะเซ้าซี้วินได้
นอกจาก 'วินไม่ใช่วย' จะดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมาก ยังมีความพิเศษอีกตรงที่ตัวละครคนสำคัญสามคน ไมรอน วิน เอสเปอรันซ่า ได้มีช่วงเวลาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา มันให้ความรู้สึกอบอุ่นดี
บริษัทเอ็มบีสปอร์ตส์เร็ปส์ของไมรอน ตั้งอยู่บนปาร์คอเวนิวในนครนิวยอร์ก เขาเช่าที่ทำงานจากวิน ซึ่งเป็นอดีตรูมเมทสมัยเรียนมหาวิทยาลัยและเป็นเพื่อนกันมาตลอด ครอบครัวของวินเป็นเจ้าของกิจการล็อค-ฮอร์นซิเคียวริตี้ส์ ซึ่งตั้งอยู่ที่อาคารสำนักงานบนถนนปาร์คอเวนิวแห่งเดียวกัน
ไมรอนเป็นผู้ดำเนินการเจรจา ในขณะที่วินซึ่งเป็นโบรกเกอร์ที่ได้รับการยอมรับนับถือมากที่สุดคนหนึ่งในประเทศจะดูแลด้านการลงทุนและด้านการเงิน ส่วนสมาชิกอีกคนของทีมเอ็มบีคือ เอสเปอรันซ่า ดิอาซ เป็นคนดูแลธุรกรรมด้านอื่นๆ ของบริษัท หน่วยงานทั้งสามทำงานตรวจสอบและคานอำนาจกัน เหมือนรัฐบาลอเมริกันชาตินิยมสุดๆ ----
ในความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนร่วมงาน วินกับไมรอนแยกกันทำงานและแยกบริษัท ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนกัน เพียงแต่ลูกค้าทุกคนของไมรอนจะเป็นลูกค้าทุกคนของวินด้วยในการจัดการรายได้และการลงทุนของพวกเขา ส่วนเอสเปอรันซ่าเป็นผู้ช่วยของไมรอนในเอ็มบีฯ
วินเปรียบเสมือนตำนานในวงการบริหารเงิน ชื่อเสียงและประวัติการทำงานของเขาไม่มีที่ติ (อย่างน้อยก็ในวงการบริหารเงิน) และหาใครมาเทียบได้ยาก เขาทำให้ไมรอนกลายเป็นคน "ใน" ในทันที คือทำให้ไมรอนได้รับความน่าเชื่อถือในวงการธุรกิจ ซึ่งความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งหายากและสร้างความประทับใจให้ได้ง่ายๆ ไมรอนเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม วินมีบทบาทในด้านการบริหารธุรกิจ เอสเปอรันซ่าเปลี่ยนบทบาทได้ทุกสถานการณ์โดยไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด เธอดูแลให้ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี พวกเขาทำงานกันได้ดี---
นอกจากทำงานด้วยกันแล้ว ยังเป็นเพื่อนกันด้วย วินเคยช่วยชีวิตเอสเปอรันซ่า และพาเธอมาทำงานกับไมรอน ไมรอนไม่ชอบกีฬากอล์ฟ แต่ที่ยอมมาเฝ้าดูการแข่งขันยูเอสโอเพ่นตามคำชวนของวินก็เผื่อว่าจะมองๆ หาโอกาสเพิ่มลูกค้าให้กับตัวเองได้ ความรู้สึกนึกคิดของไมรอนที่คอยค่อนแคะเหน็บแนมกอล์ฟในลักษณะว่าเป็นกีฬาของคนชั้นสูง เป็นกีฬาที่ไม่ควรจะเรียกว่าเป็นกีฬา เราว่ามันตลกดี
การแข่งขันยูเอสโอเพ่นจัดขึ้นที่สนามของสโมสรกอล์ฟเมอเรียนซึ่งเป็นสโมสรที่เอ๊กซ์คลูซีพที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ ตั้งอยู่ในแถบชานเมืองฟิลาเดลเฟียซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของบรรดาคนร่ำรวย คฤหาสน์ตระกูลล็อควู้ด ที่ก่อด้วยหินอันสง่างามาของครอบครัววิน ก็ตั้งโอฬารอยู่บนเนินเขาในแถบชานเมืองนี้ด้วย ไมรอน และ เอสเปอรันซ่า จึงมาพักอยู่ที่กระท่อมรับรอง (อันหรูหรา) ในอณาบริเวณส่วนหนึ่งของคฤหาสน์
ก่อนหน้านั้นเล่าถึงสองหนุ่มมามากแล้ว เล่มนี้ขอเล่าถึงความเป็นมาของเธอคนนี้บ้าง
เอสเปอรันซ่า ดิอาซ อดีตนักมวยปล้ำอาชีพจากโฟล ( FLOW : องค์กรนักมวยปล้ำที่มีชื่อเต็มว่า Fabulous Ladies of Wrestling ) อย่าเพิ่งนึกถึงภาพนักมวยปล้ำร่างกายบึกบึนใหญ่โต หน้าตาถมึงทึงกันนะคะ เพราะเอสเปอรันซ่าเป็นสาวสวยเชื้อสายสเปนผู้มีผิวสีแทน ถึงแม้จะเลิกเล่นมาเป็นสิบปี แต่โผล่ไปที่ไหนเธอก็ยังเป็นที่รู้จักจดจำในฐานะอดีตนักมวยปล้ำสาวสวยสุดเซ็กซี่ที่มีชื่อว่า "ลิตเติ้ลโพคาฮอนตัส" เจ้าหญิงอินเดียนแดงผู้ทรงเสน่ห์ ราชินีของรายการมวยปล้ำในเช้าวันอาทิตย์ทางเคเบิลทีวี
ด้วยเรืองร่างที่กะทัดรัด ปราดเปรียวในชุดบิกินี่หนังกลับ เอสเปอรันซ่าได้รับการลงคะแนนเสียงให้เป็นนักมวยปล้ำที่ได้รับความนิยมสูงสุดของโฟลติดต่อกันสามปีซ้อน รางวัลนี้เป็นที่รู้จักกันอย่างเป็นทางการว่า ผู้ชนะคือสาวน้อยที่คุณอยากเข้าชาร์ตจากด้านหลังมากที่สุด แต่แม้ว่าจะโด่งดังถึงขนาดนี้ เอสเปอรันซ่าก็ยังถ่อมตัว ---
เธอไม่ได้มาจากครอบครัวที่มีฐานะดี เท่าที่มีเปิดเผย พ่อของเธอเคยทำงานเป็นขี้ข้ารับใช้คนอื่น แม่ก็ทำงานรับจ้างทำความสะอาดตามบ้านต่างๆ นอกเหนือจากทำงานให้ไมรอน เอสเปอรันซ่ายังใช้เวลาหลังเลิกงานในการเรียนกฏหมายภาคค่ำของมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ในเล่มนี้เธอเรียนจบแล้วและกำลังอยู่ระหว่างตัดสินใจว่าจะร่วมพิธีรับปริญญาหรือไม่ เพราะเธอเหลืออยู่ตัวคนเดียวพ่อแม่ไม่มีแล้ว แต่ไมรอนอยากให้เธอร่วมพิธี
"ผมจะไปร่วมงานด้วย .. จะนั่งแถวหน้าตรงกลาง จะได้เห็นทุกอย่างชัดๆ "
เงียบ
เอสเปอรันซ่าทำลายความเงียบ "นี่คือจังหวะที่ฉันควรจะสะกดกลั้นน้ำตาแห่งความซาบซึ้งที่มีคนห่วงใยหรือเปล่า"
ไมรอนส่ายหน้า "ลืมเสียเถิดว่าผมพูดอะไรไป"
การแสดงความรู้สึกใส่ใจของไมรอนที่มีต่อเอสเปอรันซ่าจะเป็นไปลักษณะนี้ จะได้รับปฏิกิริยาตอบรับเป็นความเงียบก่อนอันดับแรก หลังจากนั้น จะตามมาด้วยประโยคทำลายความซึ้ง ที่ไมรอนจะต้องลงเอยด้วยคำพูดทำนองว่า ''ลืมมันเสียเถิด"
ส่วนความใส่ใจของเอสเปอรันซ่า จะเป็นไปในลักษณะแอบแฝง แต่ไมรอนเป็นคนที่ไวต่อความรู้สึกของคนอื่นมาก เขาจึงมักจะเข้าใจอะไรๆ ได้ทันที เช่น เมื่อเอสเปอร์รันซ่ากล่าว "อรุณสวัสดิ์" นั่นคือ ความสงสาร เป็นห่วงความรู้สึก กับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นกับไมรอน เธอจึงพยายามทำดีกับเขา เพราะโดยปกติเอสเปอรันซ่าไม่ใช่คนที่จะเอ่ยทักทายเขาแบบนั้น
---
"คุณบอกวินหรือยัง" เอสเปอรันซ่าถาม
"บอกแล้ว" แล้วเขาว่าไง
"เขาไม่ยอมช่วย"
"ไม่น่าแปลกใจหรอก" เธอว่า
"นั่นน่ะสิ" เขาเห็นด้วย
เอสเปอรันซ่ากล่าวว่า "คุณทำงานคนเดียว ไม่ดีนะไมรอน"
---
"คุณเล่าเรื่องทั้งหมดนี่ให้ผมฟังทางโทรศัพท์ก็ได้นี่"
"แล้วมันมีปัญหาอะไรนักหนาหรือไง " เอสเปอรันซ่าย้อน "ฉันก็อยากออกจากเมืองในช่วงสุดสัปดาห์บ้าง คิดว่ายูเอสโอเพ่นก็น่าสนุกดี เป็นไรไหม"
"ก็แค่ถามเฉยๆ"
"คุณนี่บางทีก็จุ้นจ้านไม่เข้าเรื่อง"
"เอาละ เอาละ" เขาชูแขน แสร้งทำเป็นยอมจำนน
"ลืมซะว่าผมถามก็แล้วกัน"
---
"คุณดูโทรมมากนะ" เอสเปอรันซ่าทัก
"คงงั้น แต่อย่างน้อยผมก็รู้สึกแย่"
"เกิดอะไรขึ้นหรือ"
"มีเจ้าขี้ยาสามตัวติดเครื่องหมายนาซีแถมพกชะแลงเข้ามาเล่นงานผม"
เธอเลิกคิ้วข้างหนึ่ง "สามคนเท่านั้นหรือ"
ผู้หญิงคนนี้ชอบทำให้ขำอยู่เรื่อย เขาเล่าให้เธอฟังเรื่องที่ตนดันไปเจอและรอดพ้นจากการโจมตีของฝ่ายนั้นมาได้อย่างหวุดหวิด พอเล่าจบเอสเปอรันซ่าก็ส่ายหน้า บ่นว่า "ไม่เอาไหน ไม่เอาไหนจริงๆ"
"ไม่ต้องมาสงสารผมหรอก ผมไม่เป็นอะไร"
---
"คุณต้องให้วินช่วย"
"เขาไม่ยอมช่วย"
"คุณต้องเลิกทำหยิ่งในศักดิ์ศรีลูกผู้ชายเสียที แล้วก็ไปขอให้เขาช่วยซะ ถึงขนาดวิงวอนก็ต้องยอม"
"ทำมาหมดแล้วละ เขาไม่ยอมเล่นด้วย" .....
"แต่" เขาพูด " คุณก็มาอยู่ที่นี่แล้ว"
เอสเปอรันซ่ามองหน้าเขา "แล้วไง"
เขารู้ดีว่านี่คือเหตุผลแท้จริงที่เธอเดินทางมาที่นี่ เธอบอกเขาทางโทรศัพท์ว่าเขาทำงานคนเดียวไม่เป็น ประโยคนั้นสื่อความหมายชัดเจนว่า เพราะเหตุใดเธอจึงอุตส่าห์ดั้นด้นมาจากนิวยอร์ก
ไมรอนสามารถฝากชีวิตไว้กับวินได้ กับเอสเปอรันซ่าก็สามารถฝากอะไรๆ ไว้ได้หลายอย่างเช่นกัน โดยเฉพาะความไว้วางใจ นอกจากเธอจะสวย เซ็กซี่ เก่ง ฉลาด ยังเป็นคนที่รู้ทันความต้องการของไมรอนจนสามารถจัดการอะไรๆ ได้ล่วงหน้า บางทีก็จัดการได้มากกว่าที่ไมรอนจะคาดหวังเสียอีก เธอเหมือนเป็นมือข้างหนึ่ง เป็นสมองซีกหนึ่งของเขา ยิ่งกว่านั้นเธอยังรู้จักและเข้าใจไมรอนดี บางทีอาจจะมากกว่าทีไมรอนจะเข้าใจและยอมรับตัวเองด้วยซ้ำ
"คุณจะเอาทั้งสองทางไม่ได้หรอก ไมรอน"
"นี่คุณพูดอะไรของคุณ"
"คุณไม่สามารถขอให้วินทำสิ่งนี้ให้เมื่อคุณต้องการ แล้วก็มาโกรธจัดเวลาเขาลงมือทำของเขาเอง"
"ผมไม่เคยขอให้เขาทำตัวเป็นศาลเตี้ยออกเล่นงานใครเลยนะ"
"อ๋อ เคยสิ คุณดึงเขาเข้ามาพัวพันกับการใช้ความรุนแรง เมื่อไหร่ที่สถานการณ์สอดรับกับความต้องการของคุณ คุณก็ปล่อยให้เขาทำตามใจ ทำอย่างกับว่าเขาเป็นอาวุธอย่างหนึ่งของคุณ"
"ไม่ใช่อย่างนั้นเลย"
"ใช่สิ" เธอยืนยัน "ใช่เลยแหละ เวลาที่วินออกไปทำธุระตอนกลางคืนแบบนี้ เขาไม่ได้ทำร้ายคนบริสุทธิ์ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ใช่ไหม"
ไมรอนพิจารณาคำถามนั้น "เปล่า" เขาตอบ
"งั้นคุณข้องใจเรื่องอะไรล่ะ เขาก็เพียงแต่เล่นงานคนทำผิดอีกประเภทหนึ่ง เขาเป็นคนเลือกคนทำผิด แทนที่จะเป็นคุณ"
ไมรอนสั่นศรีษะ "มันไม่เหมือนกัน"
"เพราะคุณเป็นคนตัดสินอย่างนั้นหรือ"
"ผมไม่ได้ส่งเขาไปทำร้ายใคร ผมส่งเขาไปจับตาดูหรือคอยช่วยเหลือผม"
"ฉันไม่เห็นว่ามันจะต่างกันตรงไหน"
---
"คุณไม่คิดว่าทำอย่างนั้นผิดหรือ"
"อ๋อ ก็ผิดสิ" เธอตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "แต่ฉันไม่แน่ใจว่าคุณรู้สึกอย่างนั้นหรือเปล่า"
"พูดอย่างนี้หมายความว่าไง"
"ลองคิดดูให้ดีๆ" เธอพูด "ว่าจริงๆ แล้วคุณหงุดหงิดเรื่องอะไร"
---
เขานึกถึงเมื่อคืนนี้อีกและนึกถึงคำกล่าวหาของเอสเปอรันซ่าเมื่อเช้านี้ อาจจะถูกของเธอก็ได้ เขาอาจจะมีส่วนรับผิดชอบกับพฤติกรรมของวินอยู่บ้าง แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนี้ ตอนนี้เขาตระหนักแล้ว ความจริงนั้นชัดเจนแจ่มแจ้งกว่านั้นมาก ความจริงซึ่งทำให้เอสเปอรันซ่าหวั่นหวาดใจเช่นกัน
นั่นคือไมรอนอาจจะไม่แยแสต่อเรื่องนี้เท่าไร
คุณอ่านหนังสือพิมพ์ ดูข่าว เห็นอย่างที่ไมรอนเห็น แล้วมนุษยธรรมของคุณ ความศรัทธาพื้นฐานในตัวมนุษย์ ก็เริ่มจะดูเป็นความคิดที่ไร้เดียงสาจนน่ากลัวนี่คือสิ่งที่กัดกร่อนไมรอนอยู่ - ไม่ใช่ความรู้สึกขยะแขยงชิงชังในพฤติกรรมของวินแต่เป็นเป็นเพราะไมรอนเองไม่รู้สึกกังวลใจต่อการกระทำของวินเท่าที่ควร
วินมักจะมองโลกว่าเป็นสีขาวหรือไม่ก็สีดำ พักหลักๆ นี้ไมรอนเองก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขาเคยเห็นเป็นสีเท่าเริ่มจะมีสีดำขึ้นกว่าเดิม ไมรอนไม่ชอบเลย เขาไม่ชอบที่ประสบการณ์-การได้เห็นมนุษย์กระทำทารุณกรรมมนุษย์ด้วยกัน-ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงความคิดของเขา เขาพยายามจะยึดตามค่านิยมเก่าๆ แต่เชือกที่เกาะไว้ลื่นเหลือเกิน แล้วเขาจะเกาะกุมเชือกไปทำไมกัน เพราะเขาเองปักใจเชื่อในค่านิยมเหล่านี้หรือ หรือเพราะว่าเขาชอบตัวเองมากกว่าเวลาที่มีศรัทธาในเรื่องเหล่านี้
เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
หลายครั้งหลายคราอ่านไปเราก็แอบหวังว่า วินจะโผล่มาเป็นซุปเปอร์ฮีโร่และช่วยให้ไมรอนผ่านพ้นวิกฤตเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ "วินไม่ช่วย" นี่ไม่ได้ล้อกันเล่นนะ ตั้งความหวังไปเถิด รอไปเถิด คำว่า "ไม่" ของวินพูดง่ายมาก และเหมือนจะทำได้ง่ายมากด้วยเช่นกัน มันชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ คือ หมายความตามนั้นทั้งคำพูดและการกระทำ แล้วมันก็ทำให้เรารู้สึกปวดใจจริงๆ
"อย่าพูดถึงขนาดนั้น ไมรอน ฉันไม่ได้เป้นคนเข้าใจง่ายขนาดนั้น ..."
"..ฉันก็เหมือนคนทั่วไป ที่เลือกว่าจะต่อสู้กับอะไร ..."
"ซึ่งนี่คือทางเลือกของฉัน และนายในฐานะเพื่อนรักควรจะเคารพการตัดสินใจ นายไม่ควรจะเข้ามาสะกิด หรือพูดให้ฉันรู้สึกผิด ให้ฉันลุกขึ้นมาต่อสู้ทั้งๆ ที่ฝืนใจ"
ไมรอนไม่รู้จะพูดอย่างไร รู้สึกขนลุกเมื่อเข้าใจตรรกะแบบคนเลือดเย็นที่วินใช้
"วิน" วินละสายตาจากม้า หันมามองหน้าไมรอน
"ฉันกำลังเดือดร้อน" ไมรอนพูดด้วยน้ำเสียงบ่งบอกอาการสิ้นหวัง "ฉันอยากให้นายช่วย"
วินมีน้ำเสียงอ่อนโยนลงอย่างฉับพลัน สีหน้าคล้ายจะแสดงถึงความร้าวราน
"ถ้านายเดือดร้อนจริง ฉันก็จะช่วย นายก็รู้นี่นา แต่นายไม่ได้พัวพันกับเรื่องเดือดร้อนจนถึงกับถอนตัวไม่ขึ้น ถอนตัวออกมาเถอะ ไมรอน นายเลิกยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้นี่ การดึงฉันเข้าไปพัวพันด้วย - ทั้งที่ฉันไม่อยากเข้าไป ใช้ความเป็นเพื่อนของเราเป็นเครื่องมืออย่างนี้น่ะ-ไม่ถูกหรอก ถอยออกมาดีกว่า"
"นายก็รู้ว่าฉันทำอย่างนั้นไม่ได้"
วินพยักหน้า เดินตรงไปที่รถของเขา "อย่างที่ฉันบอกน่ะแหละ คนเราทุกคนเป็นผู้เลือกว่าจะสู้กับอะไร"
โอย .. เป็นฉากที่น้ำตาจิไหล อ่านมาสี่เล่มย่อมต้องมีความรู้สึกผูกพันกับตัวละคร วินที่ใครๆ ก็รู้ว่าเขารักไมรอน เพื่อนที่สามารถตายแทนกันได้ แต่เรื่องนี้วินกลับไม่ยอมช่วย สงสารไมรอน แต่เราไม่คิดว่าวินใจร้ายนะ หากเป็นตัวละครอื่นที่เราไม่ได้มีอะไรติดใจเป็นพิเศษ ต้นสายปลายเหตุของคำว่าไม่ มันอาจจะเหมือนไม่มีเหตุผลเอาซะเลย ความสัมพันธ์ของวินที่มีต่อครอบครัว ก็เช่นกัน อาจจะเหมือน เฮ้ย ..เกินไปหรือเปล่า ต้องทำชีวิตโดดเดี่ยวถึงขนาดนี้เลยหรือ แต่เนื่องจากเขาคนนี้ไม่ใช่ธรรมดา เพราะเขาถูกสร้างสรรค์มาอย่างโดดเด่นเป็นตัวของตัวเอง เหตุผลใดๆ ในใจเราจึงไม่อาจแทรกไปตัดสินว่าตัวละครนี้ไม่ควรทำอย่างนี้อย่างนั้น ไม่ว่าเขาจะคิดจะทำอะไร นั่นคือการคิดและทำในแบบฉบับของ วินเซอร์ ฮอร์น ล็อควู้ด
วินไม่ช่วย แล้วไมรอนจะทำอย่างไร หรือจะยอมรับตามที่เอสเปอรันซ่า เคยออกปากไว้ "ขาดวินไปเสียคน คุณก็ทำอะไรไม่ได้" ถือเอาความสูญเสียเป็นบทเรียน แล้ววางมือเสีย
แล้วอย่างไรต่อไป ? ปล่อยให้เด็กคนนั้นพิการ ปล่อยให้เด็กคนนั้นตาย
ด้วยนิสัยของไมรอน เขาปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้ และเอสเปอรันซ่าก็มาอยู่ตรงนี้เพื่อเขาแล้ว
ถึงแม้เธอจะไม่มีทางยอมรับว่าเธอมาอยู่ที่นี่เพื่อเขาก็ตาม ( ผู้หญิงคนนี้น่ารักที่สุด! )
บรรยากาศการอยู่ด้วยกันในกระท่อมเรือนพักของ วิน เอสเปอรันซ่า และไมรอน แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ทำเราปลื้มใจซะจริง เล่มนี้ยังชอบทุกตอนที่เอสเปอรันซ่าอยู่กับไมรอน ตอนที่เขาอำเด็กวัยรุ่นเพื่อหลอกเอาข้อมูลว่าเอสเปอรันซ่าเป็น "แฟนผม" (อ๊าก น่ารัก ) ตอนที่เอสเปอรันซ่าปรับโฉมเป็นสาวเซ็กซี่เพื่อไปอ่อยเหยื่อหาข้อมูลในบาร์ (ไมรอนถึงกับเข่าอ่อน) ตอนที่ไมรอนพูดถึงเอสเปอรันซ่าลับหลังกับเด็กสาววัยรุ่นคนนั้นว่า "ให้ตายสิ ผมชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ " ประโยคนี้ทำให้ต้องรีบหักห้ามใจตัวเองเป็นอย่างมากที่จะไม่ให้เกิดเป็นความหวังว่าสองคนนี้จะพัฒนาไปเป็นความรักได้หรือเปล่า แต่ก็ท่าทางจะยาก ..
อย่างไรก็ตาม คิดว่าไมรอนไม่น่าจะไปกันรอดกับกับแฟนสาว เจสสิก้า แต่ก่อนเราคิดอยู่บ่อยๆ ว่าเจสสิก้าจะทิ้งไมรอนไปอีกครั้ง ตอนนี้ชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าใครจะทิ้งใครกันแน่ คราวก่อนเล่มสามเผยอดีตไมรอนเคยเป็นชู้กับเมียเพื่อน (แฟนเก่าของเขา แต่เมียเพื่อน) ลบไปครึ่งคะแนน ลบแค่ครึ่งเพราะมันเป็นอดีตสิบปีก่อนถือว่ายังหนุ่มอ่อนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ยังไม่เข้มแข็งจะหักห้ามใจ จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ก็เหมือนกันที่ พอไมรอนทำตัวเหมือนติดค้าง เกร็ก ดาวนิ่ง -สามีของแฟนเก่า เอ่ยเกริ่นมาเพียงนิด เอสเปอรันซ่าก็แน่ใจในจังหวะเวลา และเข้าใจสถานการณ์ได้ปรุโปร่ง มาคราวนี้ไมรอนมีชั่วขณะจิตหวั่นไหวกับหญิงอื่น ..ที่ไม่ใช่เอสเปอรันซ่า (มันน่าเศร้าตรงนี้แหละ) ขอลบไปอีกหนึ่งคะแนน ส่วนวินเลือกนอนกับผู้หญิงที่ต่างคนต่างเต็มใจโดยไม่เคยมีความรู้สึกใดๆ ด้วย และบางทีเขาก็ชอบมากกว่าที่จะทำมันง่ายๆ ด้วยการใช้บริการโสเภณี ไม่เป็นไร .. เพราะนี่คือวิน (ตรรกะแบบไหนเนี่ย)
เจสสิก้าทำตัวแปลกๆ ด้วยการนัดเอสเปอรันซ่าออกไปกินข้าวกันตามลำพังสองสาว ทั้งที่เธอรู้ดีว่าเอสเปอรันซ่าชังน้ำหน้าเธอมาก เพราะเธอเคยทิ้งไมรอนไปในช่วงเวลาที่เขากำลังอยู่ในสภาพจิตใจย่ำแย่หลังการเกิดอุบัติเหตุที่ไมรอนไม่สามารถกลับไปเล่นบาสเก็ตบอลได้ ทำไมเจสสิก้าถึงอยากเจอเอสเปอรันซ่า สองสาวเขาคุยอะไรกัน เล่มหน้าจะมีเฉลยไหมนะ อยากจะรู้จริงๆ หรือเพราะเจสสิก้าคิดจะจริงจังเป็นคู่ชีวิตกับวินจึงอยากสานสัมพันธ์กับเอสเปอรันซ่าเอาไว้
โดยปกติไม่ใช่คนที่จะฝักใฝ่นิยายประเภทสืบสวนมากจนสามารถจะอ่านอยู่ได้บ่อยๆ แต่ที่ยังอ่านชุดนี้ของฮาร์ลาน โคเบนได้ เพราะรู้สึกอยากจะติดตามตัวละครว่าชีวิตและความสัมพันธ์ของพวกเขาและเธอจะเป็นอย่างไรกันต่อไป
มีเรื่องให้ขำเยอะแยะเลย --โดยเฉพาะตอนที่ไมรอนเข้าไปคุยซักถามกลุ่มเด็กสาววัยรุ่นในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ไมรอนรู้สึกว่าตัวเองแก่มากที่ต้องพยายามอดทนกับศัพท์สำนวนของวัยรุ่น และกว่าจะได้ส่วนที่เป็นข้อมูลที่ต้องการ ... เหนื่อยแทน ตอนเจรจากับคาร์ลนักเลงคุมโรงแรมจิ้งหรีดคอร์ตแมเนอร์อิน ยึกๆ ยักๆ เราจะแค่คุยกันแล้วเข้าใจดีๆ หรือต้องลงไม้ลงมือกันถึงจะเข้าใจกันดี ชอบคาร์ลมาก ถึงเป็นนักเลงก็สุภาพและมีสมองนะ ไม่ได้อยากแต่จะลงมือตะพึดตะพือ ความขำขันของนิยายชุดนี้ไม่ได้เป็นความตลกที่ทำให้หัวเราะฮ่าฮ่าฮ่า ! (แต่บางทีก็มีหัวเราะลั่น) แต่ทำให้อมยิ้มอยู่เรื่อยๆ เพราะสำนวนอารมณ์ขันของผู้แต่ง ฮาร์ลาน โคเบน มันตลกและสนุกดี -- ชอบมาก