ทริปสาระน่ารู้...ภาค 5/3
31. การดับเครื่องที่มีเทอร์โบชาร์จเจอร์
ถ้ามีการขับรถด้วยความเร็วสูง บรรทุกของหนักหรือขับติดต่อกันเป็นเวลานานๆ เครื่องยนต์จะรับภาระหนักมาก เวลาดับเครื่องไม่ควรดับในทันทีทันใด ควรเดินเครื่องเบาเพื่อปรับสภาพเครื่องก่อนแล้วค่อยดับเครื่องตาม เช่น สภาพการขับขี่ เวลาที่ใช้เดินเบาเครื่องยนต์ ขับขี่ในเมืองปกติ ไม่จำเป็น ขับขี่ด้วยความเร็วสูง ( ประมาณ 80 กม./ช.ม. ) ประมาณ 20 วินาที หรือ ขับขี่ด้วยความเร็วสูง ( ประมาณ 100 กม./ช.ม. ) ควรรอประมาณ 1 นาที และ ขับขี่ทางลาดชัน เป็นระยะเวลานานๆ หรือขับขี่ด้วยความเร็วมากกว่า 100 กม./ช.ม. ) ควรรอ ประมาณ 2 นาที
*** ข้อควรระวัง : สำหรับรถที่มี Inter Cooler Scoop ดักลม ให้หลีกเลี่ยงการติดตั้งแผงกันสาดหรือแผงกันแมลงหน้าฝากระโปรง เพราะจะบังลมไม่ให้ไหลเข้าห้องเครื่องได้สะดวก ทำให้ประสิทธิภาพการระบายความร้อนของ อินเตอร์ คูลเลอร์ลดลง อีกทั้งยังจะส่งผลต่อสมรรถนะของเครื่องยนต์ได้
[คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง]
จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 8 ก.พ. 50 13:47:55 ]
ความคิดเห็นที่ 33
32. เครื่องยนต์มีเสียงน็อค
เสียงดังกล่าวจะดังมาจากภายในห้องเผาไหม้ ซึ่งเกิดจากเชื้อเพลิงมีการจุดระเบิดก่อนเวลาที่กำหนด หรือที่เรียกกันว่า การชิงจุดระเบิด ลักษณะเสียงดังกล่าวจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ขับเหยียบคันเร่งอย่างรวดเร็วหรือจะเกิดขึ้นเมื่อเครื่องยนต์ร้อน สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดการชิงจุดระเบิด คือ
1. เลือกใช้เกียร์ไม่เหมาะสมกับอัตราความเร็วของรถ ทำให้รอบเครื่องยนต์ขณะขับขี่ต่ำเกินไป ซึ่งการแก้ไขสามารถทำได้โดยการเกียร์ให้ต่ำลง 1 เกียร์แล้วแต่ความเหมาะสม
2. การปรับตั้งองศาของการจุดระเบิดล่วงหน้ามากเกินไปหรือเรียกกันว่า ไฟแก่ ปัญหานี้สามารถตรวจสอบและปรับตั้งได้โดยการหมุนจานจ่าย (ควรให้ช่างผู้ชำนาญงานเป็นผู้ดำเนินการ)
3. มีตะกอนคาร์บอนตกสะสมในห้องเผาไหม้มากเกินไป ดังนั้นเมื่อเครื่องยนต์ทำงานและร้อน จะทำให้ตะกอนคาร์บอนดังกล่าวกลายเป็นถ่านแดง และเผาไหม้เชื้อเพลิงก่อนการจุดระเบิดของหัวเทียน หากเกิดความสงสัยว่า การชิงจุดระเบิดเกิดจากตะกอนคาร์บอน ที่สะสมอยู่ภายในห้องเผาไหม้หรือไม่ จำเป็นต้องถอดฝาสูบออกและตรวจสอบภายในห้องเผาไหม้ ซึ่งวิธีนี้ค่อนข้างยุ่งยากและเสียค่าใช้จ่ายสูง เพราะการถอดฝาสูบออกเมื่อจะประกอบกลับดังเดิมจำเป็นจะต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนบางอย่างใหม่ เช่น ประเก็นฝาสูบ ฯลฯ.
วิธีที่ง่ายและสะดวกที่สุดคือ ใช้น้ำยาทำความสะอาดคราบเขม่าฉีดเข้าไปยังห้องเผาไหม้ เพื่อเป็นการละลายคราบเขม่าที่ติดอยู่ ซึ่งวิธีนี้คราบเขม่าจะหลุดออกมาพร้อมกับไอเสียและเป็นวิธีที่ประหยัดค่าใช้จ่ายมาก
4. ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีค่าออกเทนต่ำกว่าที่กำหนดให้ใช้ ซึ่งปัจจุบันแนวโน้มของเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูง อัตราส่วนการอัดอากาศภายในกระบอกสูบจะสูงด้วย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเลือกใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีคุณสมบัติต้านทานการน็อคสูง นั่นหมายถึงผู้ใช้ต้องเลือกน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีค่าออกเทนนัมเบอร์ที่สูง เหมาะสมกับที่บริษัทผู้ผลิตกำหนดไว้ อาการน็อคจึงจะลดลง
*** นอกจากนี้น้ำมันที่มีคุณภาพต่ำยังส่งผลให้ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ต่ำลงและเกิดคราบเขม่าตกค้างภายในห้องเผาไหม้จำนวนมาก
จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 8 ก.พ. 50 13:51:40 ]
ความคิดเห็นที่ 34
33. ปัญหาเสียงดังขณะเบรก (คล้ายเสียงของโลหะเสียดสีกัน)
เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่บางท่านเคยประสบมา เสียงดังกล่าวอาจจะเกิดขึ้นในขณะที่เราเบรกในตอนเริ่มออกรถตอนเช้าๆ หลังการล้างรถ เมื่อปล่อยเบรกช้าๆขณะขับรถลงเขา หรือขับรถยนต์ขณะฝนตก ซึ่งเมื่อเหยียบเบรกไปสักระยะหนึ่งเสียงดังกล่าวจะหาย
**สาเหตุของการเกิดเสียง เมื่อมีความชื้นหรือน้ำจับที่ผ้าเบรก ค่าสัมประสิทธิ์ความเสียดทานระหว่างผ้าเบรกและจานโรเตอร์จะเพิ่มขึ้นชั่วขณะ ขณะที่เหยียบเบรก คาลิปเปอร์ โรเตอร์ ผ้าเบรกจะสั่นและก่อให้เกิดเสียงดังขึ้น เมื่อเราเหยียบเบรกบ่อยๆ ความร้อนที่เกิดขึ้นจากการเบรกจะไล่ความชื้นออกไป ทำให้ค่าสัมประสิทธิ์ความเสียดทานระหว่างผ้าเบรกและโรเตอร์ลดลง อาการสั่นของคาลิปเปอร์ โรเตอร์ และผ้าเบรกขณะเหยียบเบรกก็จะลดลง ซึ่งทำให้เสียงที่เกิดขึ้นเบาลง ปรากฏการณ์ของสภาพหน้าสัมผัสที่เสียดสีกันและก่อให้เกิดการสั่นจนทำให้เกิดเสียงดังขึ้นนั้นเรียกว่า "STICK SLIP" จึงมักเกิดขึ้นเป็นปกติของรถยนต์ทุกคัน และไม่มีผลต่อชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง แต่จะทำให้เกิดความรำคาญ
องค์ประกอบของปรากฏการณ์ "STICK SLIP" 1. ทิศทางและความเร็ว 2. แรงเบรก 3. สัมประสิทธิ์ความเสียดทานระหว่างผ้าเบรกและโรเตอร์ 4. สภาพการสัมผัสของผ้าเบรกและโรเตอร์
***การแก้ไข เสียงดังของผ้าเบรกที่เกิดจากปรากฏการณ์ "STICK SLIP" ไม่สามารถแก้ไขให้หายได้ แต่สามารถปรับให้เสียงดังกล่าวเบาลงได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น ทั้งนี้หากมีความประสงค์ปรับตั้งเพื่อลดปัญหาดังกล่าว ใคร่ขอแนะนำให้นำรถเข้าศูนย์บริการ
จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 8 ก.พ. 50 13:53:00 ]
ความคิดเห็นที่ 35
34. ถังน้ำหล่อเย็นสำรอง
จะติดตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของเครื่องยนต์หรืออยู่ด้านข้างของหม้อน้ำ ถ้าเปิดฝากระโปรงรถขึ้นมา ก็จะมองเห็นได้โดยไม่ยาก ลักษณะเป็นกล่องพลาสติกสำหรับใส่น้ำไว้หล่อเย็นเครื่องยนต์ด้านบนมีฝาเปิด-ปิด สำหรับเติมน้ำ และกันไม่ให้น้ำกระฉอกออกขณะรถยนต์กำลังวิ่ง ที่ด้านข้างหรือบางรุ่นอาจจะเป็นด้านบน จะมีท่อยางต่อออกไปยังท่อน้ำล้นที่อยู่บริเวณช่องเติมน้ำของหม้อน้ำ และที่ด้านข้างก็จะมีขีดบอกระดับ MAX และ MIN ให้ทราบปริมาณของน้ำในถัง
ที่นี้เราลองมาดูหน้าที่การทำงานกันบ้างดีกว่า หน้าที่ของถังน้ำหล่อเย็นสำรองคือ : 1. เป็นที่เก็บน้ำสำรอง สำหรับหล่อเย็นเครื่องยนต์ 2. เป็นที่พักน้ำหล่อเย็นที่ไหลออกมาจากหม้อน้ำพร้อมกับแรงดันภายในหม้อน้ำ 3. ช่วยกำจัดฟองอากาศให้ออกไปจากระบบหล่อเย็น ช่วยทำให้น้ำหล่อเย็นสามารถนำพาความร้อนออกจากเครื่องยนต์ได้เต็มที่ แต่การทำงานจะสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพของชิ้นส่วนอะไหล่ที่ต้องทำงานประสานกัน สำหรับการทำงานนั้นจะเริ่มจากขณะที่เครื่องยนต์ทำงานก็จะเกิดความร้อนที่เครื่องยนต์ น้ำจากหม้อน้ำจะถูกส่งไปยังเครื่องยนต์เพื่อนำพาความร้อนจากตัวเครื่องยนต์กลับมายังหม้อน้ำ ดังนั้นน้ำจึงมีอุณหภูมิสูงมาก พออุณหภูมิสูงก็จะเกิดแรงดันขึ้นภายในหม้อน้ำ แรงดันนี้จำเป็นต้องถูกระบายออก ไม่เช่นนั้นหม้อน้ำอาจจะระเบิดหรือรั่วได้ แรงดันนี้จะถูกส่งผ่านออกทางช่องน้ำล้น ซึ่งขณะที่แรงดันถูกส่งออกไปนั้นก็จะนำพาน้ำในหม้อน้ำออกไปด้วยบางส่วน ทำให้น้ำในหม้อน้ำพร่องไป แต่น้ำที่พร่องไปพร้อมกับแรงดันนี้ก็ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ถูกนำไปเก็บไว้ที่ถังน้ำหล่อเย็นสำรองชั่วคราว เมื่ออุณหภูมิของเครื่องยนต์ต่ำลงเพราะถูกน้ำในหม้อน้ำนำพาออกไปก็จะเกิดสูญญากาศขึ้นบางส่วนในหม้อน้ำ น้ำหล่อเย็นจากถังน้ำหล่อเย็นสำรองก็จะถูกดูดเข้าไปในหม้อน้ำตามเดิม ทำให้น้ำเต็มระบบตลอดเวลา
ส่วนการดูแลรักษาก็เพียงแต่ระวังอย่าให้ของแหลมหรือของมีคมไปกรีดหรือแทงให้เกิดรอย และหมั่นเติมน้ำให้ได้ตามระดับ MAX เท่านั้นก็พอ ก็จะช่วยให้อายุการใช้งานของถังน้ำหล่อเย็นสำรองนั้นยาวนานออกไป
จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 8 ก.พ. 50 13:55:09 ]
ความคิดเห็นที่ 36
36. กระจกที่ใช้ในรถยนต์
- กระจกนิรภัยซ้อน 2 ชั้น ( Laminated ) เป็นการนำกระจก 2 แผ่นมาอัดติดกัน โดยมีแผ่นฟิล์ม PVB ( POLYVINYLBUTYRAL ) ที่มีลักษณะเหนียวและแข็งแรงอัดซ้อนอยู่ระหว่างกลาง ซึ่งจะทำหน้าที่ยึดเกาะกระจกทั้งสองให้ติดกัน เมื่อกระจกชนิดนี้ถูกกระแทกจนแตก แผ่น PVB จะช่วยยึดเกาะมิให้เศษกระจกหลุดออกมาทำอันตรายต่อผู้ใช้งานและยังคงรูปเป็นแผ่นดังเดิม จะมีเพียงรอยแตกหรือร้าวเป็นเส้นเท่านั้น ถือว่าเป็นกระจกนิรภัยที่ให้ความปลอดภัยสูง จึงนิยมนำมาใช้เป็นกระจกบังลมหน้ารถยนต์เป็นส่วนใหญ่
- กระจกนิรภัยเทมเปอร์ (Tempered ) ลักษณะทั่วไปจะเหมือนกระจกธรรมดา แต่มีคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างออกไปคือ เมื่อถูกกระแทกหรือทุบจนแตก แผ่นกระจกจะแตกละเอียดเป็นเม็ดเล็ก ๆ คล้ายกับเมล็ดข้าวโพดที่ไม่มีคม จึงไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้งาน นอกจากนี้ยังความแข็งกว่ากระจกธรรมดา 3-5 เท่า จึงนิยมใช้กับพาหนะ เช่น กระจกประตู เป็นต้น
- กระจกนิรภัยโซนเทมเปอร์ ( Zone Tempered ) มีลักษณะพิเศษแตกต่างออกไปจากกระจกนิรภัยเทมเปอร์ คือ เมื่อร้าวหรือแตกบริเวณส่วนกลางของแผ่นกระจกจะแตกเป็นชิ้นใหญ่ ๆ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ขับขี่ด้วยความเร็วสูงสามารถมองผ่านเห็นถนนได้ แต่ยังคงความปลอดภัยไว้
[คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง]
จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 8 ก.พ. 50 13:57:13 ]
ความคิดเห็นที่ 37
35.. ซีลยางขอบประตู และฝาท้าย
เป็นชิ้นส่วนอะไหล่ประเภทหนึ่งที่ราคาสูงไม่เบาทีเดียว เรียกว่าเบิกห้างกันทีมีเป็นลมเอาได้เหมือนกัน ปัญหาที่พบกันบ่อยก็เป็นเรื่องของน้ำเข้ารถทั้งจากบานประตูและที่ฝาท้าย ถัดมาก็เป็นเรื่องเสียงลมจายางของประตูเวลาที่วิ่งด้วยความเร็วสูงๆ รวมถึงเวลาปิดพวกบานประตู และฝาท้ายที่ต้องกระแทกกันสุดแรงเกิดสุดท้ายก็เป็นพวกกลิ่นไม่พึงปรารถนาภายนอกที่เล็ดลอดเข้ามาในรถอย่างเกิดจำเป็น สาเหตุในการเกิดปัญหาก็มีอยู่ไม่ข้อหลักๆ ก็เป็นเรื่องการหมดอายุใช้งาน ฉีกขาด ไม่เป็นไปตามรูปทรงเดิมของมัน หรือใช้ยางที่เป็นอะไหล่เทียม รวมถึงการติดตั้งที่ไม่ถูกต้องก็ทำให้เกิดปัญหาตามมาเช่นกัน
จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 8 ก.พ. 50 13:57:37 ]
ความคิดเห็นที่ 38
37. สีที่ปลอดภัย
รถยนต์สีเหลืองจะมีความปลอดภัยสูงสุดในเวลากลางคืน ส่วนสีที่ไม่น่าใช้ที่สุดคือ สีเทา แต่ผลการศึกษาของเมอร์เซเดสเบนซ์ บอกว่า สีขาวเป็นสีที่เหมาะสมที่สุด เพราะสามารถมองเห็นได้เด่นชัดจากทุกทิศทาง จะมีจุดอ่อน ก็เพียงเมื่อยามที่เกิดมีหิมะตกหนักปกคลุมถนน และวิ่งบนพื้นที่ทรายสีขาว รองลงไปจากสีขาวเป็นสีเหลืองสดใส และอันดับสามเป็นสีส้มสด เพราะผู้ร่วมใช้ถนนมองเห็นชัดมาก ส่วนสีที่ไม่น่าใช้ เมอร์เซเดสเบนซ์ บอกว่า สีเขียวเข้ม หรือดาร์คกรีน
จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 8 ก.พ. 50 14:01:54 ]
ความคิดเห็นที่ 39
38. ECU ย่อมาจากอะไร และมีหน้าที่อะไร
ECU หรือที่เราเรียกกันว่า กล่องเครื่อง ย่อมาจาก Electronic Control Unit เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มีพื้นฐานมาจากคอมพิวเตอร์ หน้าที่หลักของ กล่องเครื่อง / ECU คือเป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับข้อมูลจากเซ็นเซอร์ต่างๆเพื่อนำมาประมวลผล และใช้ในการควบคุมการการสั่งจ่ายน้ำมันเชื้อ เพลิงและการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ ในเครื่องยนต์ปัจจุบัน ECU จะไม่ควบคุมเพียงแค่ การจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง และ การจุดระเบิดเท่านั้น ECU ยังสามารถ ที่จะควบคุมระบบต่างๆ อาทิเช่นระบบปรับความยาวท่อร่วมไอดีแปรผัน ระบบวาล์วแปรผัน การทำงานของคอมเพรสเซอร์แอร์ พัดลมระบายความร้อน ระบบควบคุมไอน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น ซึ่งความสามารถเหล่านี้ไม่เป็นเพียงการลดความซ้ำซ้อนของอุปกรณ์ต่างๆ ECU สามารถที่จะจัดการให้อุปกรณ์ต่างๆ ทำงานสัมพันธ์กันได้ เพื่อประสิทธิภาพเครื่องยนต์สูงสุด ลดมลภาวะ และประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ยังผลให้เครื่องยนต์ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง มีกำลังที่สูงขึ้น ยืดอายุการใช้งาน มีการตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว และลดมลภาวะที่ปล่อยออกมา นอกจากนี้ ECU ยังทำงานร่วมกับระบบกันขโมย (Immobilizer) โดยระบบจะไม่อนุญาตให้กุญแจที่ไม่ถูกต้องสามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ติดได้
จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 8 ก.พ. 50 14:02:54 ]
ความคิดเห็นที่ 40
save ก่อน อ่านทีหลัง
ขอบคุณครับ
จากคุณ : จริยธรรมต่ำ (aunubis) - [ 8 ก.พ. 50 14:03:05 ]
ความคิดเห็นที่ 41
39. การปิดฝากระโปรงหน้า
เรามักจะพบเห็นรอยบุบเป็นลักยิ้มบริเวณฝากระโปรงหน้าอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดความเสียหายดังกล่าวนั้น เกิดจากการปิดฝากระโปรงไม่ถูกวิธี บ่อยครั้งที่เราเห็นการปิดฝากระโปรงโดยการประคองฝากระโปรงเพื่อวางลงบนตัวล็อค แล้วค่อยใช้ฝ่ามือกดกดลงบริเวณกึ่งกลางตอนหน้าของแผ่นฝากระโปรง ซึ่งแรงกดทำให้ฝากระโปรงหน้าได้รับความเสียหายได้ โดยวิธีการปิดฝากระโปรงหน้าอย่างถูกนั้นทำได้โดย ปลดเหล็กค้ำฝากระโปรงออก แล้วประคองฝา กระโปรงลงมาให้อยู่สูงกว่ากลอนล็อคฝากระโปรงประมาณ 1 คืบ แล้วจึงปล่อยมือให้ฝากระโปรงหน้าตกลงแล้วเข้าล็อคด้วยน้ำหนักของฝากระโปรงเอง หากฝากระโปรงยังไม่เข้าล็อคให้เปิดฝากระโปรงใหม่แล้วประคองขึ้นมาให้สูงกว่าเดิมอีกเล็กน้อยแล้วปล่อยลง เมื่อฝากระโปรงเข้าล็อคแล้วให้ตรวจสอบ ความเรียบร้อยโดยดูได้จากขอบของฝากระโปรงหน้าต้องมีระดับเสมอกับขอบของแก้มหน้าทั้งด้านซ้ายและด้านขวา
จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 8 ก.พ. 50 14:03:38 ]
ความคิดเห็นที่ 42
40. การถอยหลัง การถอยหลัง เป็นการขับขี่อีกวิธีหนึ่ง ที่จะต้องพิถีพิถัน โดยเฉพาะ การถอยหลังเข้าที่จอดรถ โดยปกติ การถอยหลัง จะทำด้วยความเร็วต่ำ ขับข้าๆ จะทำให้การหมุนพวงมาลัยได้ผลดี เมื่อจะหมุนพวงมาลัย ควรให้รถ มีการเคลื่อนที่นิดหน่อย เพราะจะช่วยลดการเบียดเสียดสี ระหว่าง หน้ายางกับพื้นถนน การถอยหลัง จะใช้หลักว่า ต้องการให้ท้ายของรถยนต์หันไปทางใด ก็ให้หมุนพวงมาลัย ไปทางนั้น เช่น ต้องการให้ท้ายรถเลี้ยวไปด้านซ้าย ก็หมุนพวงมาลัยไปด้านซ้าย ต้องการให้ท้ายรถเลี้ยวไปด้านขวา ก็หมุนพวงมาลัยไปทางด้านขวา ผู้ขับขี่ อาจหันไปมองท้ายรถ เพื่อประมาณระยะการถอย ได้ตามต้องการ เช่น ในรถยนต์ ประเภทพวงมาลัยอยู่ขวา (รถยนต์ทั่วไปในประเทศไทย) สามารถใช้มือขวา ควบคุมพวงมาลัย แล้วใช้แขนซ้าย อ้อมไปจับด้านบนของหลังเบาะ ที่อยู่ด้านข้างคนขับ วิธีนี้ จะทำให้ การหันคอไปมองท้ายรถ ทำได้สะดวก ขณะเดียวกัน ควรประเมินมิติ (ขนาด) ของรถ และขนาดช่องว่างพื้นที่ๆ จะนำรถเข้าจอด พร้อมด้วยช่องว่าง ที่เหลือ เพื่อการหักเลี้ยวใดๆ ด้วย
[คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง]
จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 8 ก.พ. 50 14:04:12 ]
ความคิดเห็นที่ 43
41.ใช้และดูแลรถอย่างไรให้ประหยัดเชื้อเพลิง
น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้รถยนต์ขับเคลื่อนไปได้ ซึ่งจากการที่ราคาน้ำมันได้ถีบตัวสูงขึ้น ทำให้ผู้ใช้ รถยนต์ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงมีคำถามเกิดขึ้นว่าจะทำอย่างไรให้รถยนต์ที่ใช้อยู่ ประหยัดเชื้อเพลิงได้ มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เราลดอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันลงได้
1.เครื่องยนต์ การบำรุงรักษาเครื่องยนต์ให้เครื่องยนต์มีสภาพสมบูรณ์ตลอดเวลาโดยเข้ารับบริการเป็นประจำตามตารางการบำรุงรักษาที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนดไว้ ซึ่งจะช่วยให้ แน่ใจได้ว่าส่วนต่าง ๆ เช่น หัวเทียน ไส้กรองอากาศ ความเร็วรอบเดินเบา ของเครื่องยนต์ ฯลฯ จะได้รับการบำรุงรักษาเพื่อให้มีการใช้น้ำมันในปริมาณน้อย ที่สุดและเครื่องยนต์มีประสิทธิภาพ สูงสุด
2. ลมยาง คอยตรวจสอบยางให้มีระดับความดันลมยางตามที่แนะนำเสมอ ยางที่มีลมอ่อนเกินไปจะมีแรงต้านการหมุนเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น โดยระดับความดันลมยางที่ไม่ถูกต้องจะทำให้ยางสึกไม่สม่ำเสมอและสึก เร็ว กว่ากำหนด
3.การตั้งศูนย์ล้อ คอยตรวจสอบการตั้งศูนย์ล้อหน้าและหลังให้ถูกต้องอยู่เสมอ การตั้งศูนย์ล้อไม่ถูกต้องจะทำให้ล้อฉุดเครื่องยนต์ ทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักมากขึ้น และ ทำให้สิ้นเปลืองมากขึ้น อีกทั้งทำให้ยางสึกไม่สม่ำเสมอและสึกเร็วกว่ากำหนด โดยท่านสามารถปรึกษาได้จากศูนย์บริการ
4.การอุ่นเครื่องและเดินเบา หลีกเลี่ยงการอุ่นเครื่องเป็นเวลานานเนื่องจากไม่มีความจำเป็น และสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเปล่าประโยชน์ โดยปรกติเครื่องยนต์จะใช้เวลาประมาณ 5 นาที เพื่ออุ่นเครื่องยนต์ให้ได้อุณหภูมิทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่ง สามารถทำได้โดยการขับขี่อย่างเหมาะสม โดยใช้รอบเครื่องยนต์ให้เหมาะสม หลีกเลี่ยง การเร่งเครื่องยนต์เต็มที่ขณะที่ เครื่องยนต์ยังไม่ถึงอุณหภูมิทำงาน และควรหลีกเลี่ยงไม่ให้เครื่องยนต์เดินเบาเป็นเวลานาน หากมีความจำเป็น ต้องจอดรอเป็น เวลาหลายนาที ให้ดับเครื่องยนต์เพื่อประหยัดเชื้อเพลิง
5.การเร่งเครื่อง การขับขี่ และการเบรค ควรเร่งความเร็วขึ้นช้า ๆ และหลีกเลี่ยงการออกตัวอย่างรวดเร็ว การเร่งความเร็วขึ้นในทันที การเร่งเครื่องเต็มที่ และการ เบรคอย่างรุนแรงทำให้สิ้นเปลืองน้ำ มันเชื้อเพลิงอย่างมากการขับขี่โดยใช้ความเร็วสม่ำเสมอจะทำให้ประหยัดน้ำมัน การขับขี่ในรูปแบบที่เพิ่มความเร็วจนถึงระดับ สูงสุดในแต่ละเกียร์ เป็นการ ขับขี่ที่สามารถทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้อย่างรวดเร็ว แต่เป็นการขับขี่ที่ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมัน เชื้อเพลิงเป็นอย่างมาก ดังนั้นไม่ควรเร่งให้เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้น เพื่อให้ได้ความเร็วสูงสุดในแต่ละเกียร์โดย ไม่จำเป็นการเบรคอย่างไม่เหมาะสมทำให้ผู้ขับขี่ต้องเร่งเครื่องเพื่อให้มีความเร็วเพิ่มขึ้นอีกครั้ง เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ ทำให้สิ้นเปลือง โดยเปล่าประโยชน์ ผู้ขับขี่ควรใช้ความเร็ว เว้นระยะห่างคันหน้าให้เหมาะสม ซึ่งการขับขี่ลักษณะดังกล่าว ทำให้ลดการใช้เบรคให้น้อยลงได้ ซึ่งทำให้การขับขี่เป็นไปได้อย่างราบรื่น และประหยัดน้ำมันอย่าพักเท้าบนแป้นเบรคเมื่อคุณไม่ต้องการที่จะเบรค เนื่องจากจะทำให้เบรคร้อนจัด ผ้าเบรคสึก มากขึ้น ระบบเบรค เสียหาย และสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
6.ระบบปรับอากาศ ปรับตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสม และปิดเครื่องปรับอากาศ เมื่อไม่มีความจำเป็นเพื่อลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์ อย่างไรก็ตามหากไม่ได้ใช้เครื่องปรับ อากาศเป็นเวลานาน ๆ ทุก ๆ 2 สัปดาห์ควรจะติดเครื่องยนต์และเปิดระบบปรับ อากาศให้ทำงานเป็นเวลาประมาณ 5-10 นาทีเพื่อหล่อลื่นซีลต่าง ๆ รวมถึงในช่วงหน้าหนาวด้วยเช่นกัน
จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 8 ก.พ. 50 14:05:07 ]
ความคิดเห็นที่ 44
42.. ถ้าไม่เติมลมยางตามที่คู่มือแนะนำจะมีผลอย่างไร
หากความดันลมยางมีค่าต่ำกว่าค่าที่แนะนำ จะทำให้อายุการใช้งานของยางลดลง เนื่องจากน้ำหนักจากตัวรถจะกดทับที่บริเวณไหล่ยางมากกว่าช่วงกลางของ หน้ายาง ทำให้เกิดความร้อนสูงที่บริเวณไหล่ยางเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูง ทำให้ชั้นผ้าใบหรือเนื้อยางไหม้แยกออกจากกันได้ และ สามารถนำไปสู่ความเสียหาย ของโครงยางบริเวณแก้มได้ โดยบริเวณไหล่ยางจะสึกหรอเร็วกว่าส่วนอื่นๆ ลมยางที่อ่อนเกินไปทำให้หน้าสัมผัสของยางกับพื้นถนนมีมากขึ้น ซึ่งนำมาสู่ความ สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่มากขึ้นครับ หากความดับลมยางมีค่ามากกว่าค่าที่แนะนำมากๆ จะทำให้เกิดการลื่นไถลได้ง่ายเนื่องจากยางจะมีลักษณะบวมเปล่งบริเวณท้องยาง ทำให้ยางมีพื้นที่ในการยึด เกาะถนนลดลง โดยดอกยางจะสึกบริเวณตอนกลางมากกว่าส่วนอื่นๆ ซึ่งนำมาสู่อายุการใช้งานของยางที่สั้นลง อีกทั้งโครงยางระเบิดได้ง่ายเมื่อรับแรงกระแทก หรือถูกตำ เนื่องจากโครงยางมีการเบ่งตัวมากทำให้เกิดการยืดหยุ่นตัวได้น้อย ลมยางที่มากเกินไปทำให้เกิดความแข็งกระด้าง ไม่สบายในการขับขี่ และทำให้ ชิ้นส่วนช่วงล่างรับภาระหนักขึ้นและอายุการใช้งานสั้นลงอีกด้วยครับ
- สามารถเช็คลมยางหลังจากใช้งานรถมาทันทีได้เลยหรือไม่ เนื่องจากความดันลมยางจะสูงขึ้นขณะที่รถมีการวิ่งไป เนื่องจากความร้อนจากพื้นถนนและการเสียดสีของยางกับถนน ทำให้อุณหภูมิของอากาศในยางสูงขึ้น อากาศมีการขยายตัว ความดันจึงสูงขึ้น ทำให้ค่าความดันลมยางมีค่าไม่แน่นอนจากอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นควรตรวจวัดความดันลมยางขณะที่ยางยังเย็นอยู่ และเติม/ปล่อยลมออกขณะที่ยางยังเย็นตัวอยู่เช่นกันครับ - ลมยางซึมออกได้เองหรือไม่ โดยปรกติความดันลมยางจะลดต่ำลงได้เองตามธรรมชาติ เปรียบเทียบง่ายๆ เมื่อเราสูบลมเข้าไปในลูกโป่งให้ตึง ปล่อยทิ้งไว้ข้ามคืน วันรุ่นขึ้นจะสังเกตเห็นว่าลูกโป่งแฟบหรือเล็กลง ยางรถยนต์ก็เช่นกัน ลมยางจะซึมออกโดยตัวมันเอง ดังนั้นควรหมั่นตรวจเช็คลมยางสม่ำเสมออย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อจะได้ทราบค่าความดันลมยางและเติมลมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม - ถ้าวิ่งบนถนนที่ขรุขระมากๆ ควรเติมลมอย่างไร ควรลดความดันลมยางลงเล็กน้อย (ในขณะที่ยางยังเย็นอยู่) และขับขี่ด้วยความระมัดระวัง จะทำให้ขับขี่ได้นุ่มนวลขึ้นและลดแรงกระแทกจากพื้นผิวถนนที่ขรุขระได้ดียิ่งขึ้น แต่เมื่อกลับมาวิ่งบนถนนเรียบทั่วไป ก็ควรเติมลมยางให้ได้มาตรฐานดังเดิม - ถ้าเปลี่ยนขนาดยาง ควรเติมลมเท่าไหร่ หากยางเส้นใหม่มีเส้นผ่าศูนย์กลางใกล้เคียงขนาดเดิมแล้ว ลมยางในคู่มือประจำรถจะเป็นค่ามาตรฐานที่เหมาะสมและผ่านการทดสอบจากโรงงานผู้ผลิตรถยนต์แล้วว่า สามารถทำหน้าที่รับน้ำหนักรถและน้ำหนักบรรทุกได้อย่างปลอดภัยต่อการใช้งาน แต่ถ้าไม่เท่าควรถามจากบริษัทผลิตรถยนต์หรือศูนย์บริการยางที่ได้มาตรฐาน
จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 8 ก.พ. 50 14:05:40 ]
ความคิดเห็นที่ 45
43. การเติมลมด้วยก๊าซไนโตรเจนมีข้อดีอย่างไร
ก๊าซไนโตรเจน (N2) เป็นก๊าซที่มีขนาดโมเลกุลใหญ่กว่าและมีความว่องไวในการเกิดปฏิกิริยาน้อยกว่าก๊าซออกซิเจน (O2) เมื่อใช้เติมเข้าไปในยางรถยนต์แทนอากาศปกติ จะมีข้อดีดังนี้ 1. การซึมออกของลมยางจะลดลง จึงไม่ต้องเดิมลมยางบ่อยๆ 2. ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของโครงยางและกระทะล้อ 3. คงความนุ่มนวลของยางแม้วิ่งระยะทางไกล เนื่องจากการขยายตัวของก๊าซไนโตรเจนมีต่ำ อย่างไรก็ตาม ควรตรวจเช็คความดันลมยางเป็นประจำอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง ขณะที่ยางยังเย็นอยู่ เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน ส่วนข้อเสียคือราคาค่าเติมที่แพงกว่าการเติมลมปกติมาก ซึ่งรถที่วิ่งในสภาพการใช้งานปกติไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเติมก๊าซในโตรเจนแต่อย่างใด - กลับมาเติมลมยางด้วยอากาศได้อีกหรือไม่ การเปลี่ยนมาเติมลมยางด้วยอากาศทั่วไปภายหลังจากที่เติมด้วยก๊าซไนโตรเจนแล้ว ไม่มีข้อเสียหายใดๆ หากแต่เมื่ออากาศปกติถูกเติมเข้าไป จะทำให้คุณสมบัติและประสิทธิภาพของก๊าซไนโตรเจนเจือจางลง การเติมลมยางด้วยก๊าซไนโตรเจนต่อไปจึงสามารถคงคุณสมบัติของก๊าซไนโตรเจนไว้ได้
จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 8 ก.พ. 50 14:06:48 ]
ความคิดเห็นที่ 46
44. MODEL CHANGE / MINOR CHANGE
หากหาทางออกไม่ได้ ก็อาจใช้ภาษาอังกฤษเพิ่มความชัดเจนในการเรียกก็ได้ คือ
***MODEL CHANGE หมายถึง การเปลี่ยนโฉม เปลี่ยนตัวถังทั้งคัน เปลี่ยนเจนเนอเรชันใหม่ บางกรณีเรียกว่า ALL NEW โดยพอจะเรียกเป็นภาษาไทยได้ว่า เปลี่ยนโฉม
*** MINOR CHANGE หมายถึง การปรับเปลี่ยนเฉพาะในรายละเอียดย่อย บางตัวถังหลักเดิม เช่น เปลี่ยนไฟหน้า กระจังหน้า กันชน ไฟท้าย ฯลฯ เสมือนเป็นการแต่งหน้าทาปาก บางยี่ห้อเรียกว่า FACE LIFT ในกรณีที่มีการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ด้านหน้าให้ต่างจากเดิม โดยพอจะเรียกเป็นภาษไทยได้ว่า ปรับโฉม
** แยกให้ออกได้อย่างไร
ย้อนดูอายุตลาดที่ผ่านมา - แทบไม่เคยมีรถยนต์รุ่นใดที่จะมีการเปลี่ยนโฉมทั้งคันหรือเปลี่ยนรุ่นเร็วกว่า 4 ปี โดยเฉลี่ยแล้ว ไม่ว่าจะทำตลาดในประเทศใด ๆ รถยนต์ญี่ปุ่นทำตลาดรุ่นหลักประมาณ 4-5 ปี ส่วนรถยนต์ยุโรป บางรุ่นก็ประมาณ 5-7 ปี หรือบางรุ่นก็ขยับระยะเวลาในการทำตลาดให้สั้นลงเหลือ 4 ปี เพื่อให้รถยนต์ของตนเองมีความสดใหม่ทัดเทียมกับคู่แข่ง และช่วงกลาง ๆ ก็จะมีการปรับโฉม แต่หน้าทาปากกระตุ้นตลาดสัก 1-3 ครั้ง
ดังนั้น หากจะมีการเปลี่ยนโฉมทั้งคัน หลังจากรุ่นเดิมเพิ่งทำตลาดมาแค่ 2-3 ปี ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 8 ก.พ. 50 14:07:35 ]
ความคิดเห็นที่ 47
45.มาดูการเลือกซื้อรถมือสองแบบคร่าวๆกันอีกครั้ง
ก่อนที่คุณจะใช้เวลาในการทดสอบรถนั้น สิ่งที่ควรทำก็คือ การเช็คประวัติการใช้งานของรถคันดังกล่าว ซึ่งทำให้เราสามารถ พอที่จะรู้ได้ว่า - รถคันดังกล่าวเคยประสบอุบัติเหตุร้ายแรง หรือภัยทางธรรมชาติหรือเปล่า - มีการทำสีมาหรือเปล่า - รถมีการเปลี่ยนกรรมสิทธิ์การครอบครองหรือเปล่า / เปลี่ยนมาแล้วกี่ครั้ง - รถมีการปรับเลขไมล์หรือเปล่า - เคยเกิดอุบัติเหตุรุนแรงมาก่อนหรือไม่ ( ในท้องที่ใด )
จากเหตุผลดังกล่าว จึงเป็นเหตุผลที่ดีในการเช็คประวัติการใช้งานของรถ ก่อนที่คุณจะทำการตรวจเช็คสภาพรถในขั้นตอนถัดไป
1. ขอดูคู่มือการรับบริการ และเอกสารติดรถอื่นๆ: เป็นที่น่ายินดีถ้าเจ้าของรถเก็บเอกสารดังกล่าวไว้ เพราะว่าเอกสารพวกนี้ ช่างเครื่องยนต์ที่มีประสบการณ์ หรือคนที่มีความคุ้นเคยกับการซ่อมเครื่องยนต์ สามารถบอกรายละเอียดของรถได้อย่างมากมาย เจ้าของรถที่มีการเก็บเอกสารไว้ ส่วนมากจะเป็นคนที่มีการดูแลรักษารถ และนำรถเข้าศูนย์บริการเป็นประจำ อย่างไรก็ตาม อย่าลืมดูที่เอกสารเหล่านั้นว่าเป็นของรถคันนั้นหรือไม่ และถ้ามีการซ่อมบริเวณส่วนใดส่วนหนึ่งของรถเป็นเวลาหลายๆครั้ง ให้ลองสอบถามกับเจ้าของ รถว่าเกิดอะไรกับชิ้นส่วนดังกล่าว และบอกกับช่างเครื่องที่มาช่วยตรวจสอบเครื่องเพื่อทำการเช็คในจุดดังกล่าวอีก
2. เช็คการเสื่อมสภาพของอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ยาง, ยางกรอบประตู, แป้นเหยียบ, และเข็มขัดนิรภัย: คุณสามารถเช็คการเสื่อมสภาพของอุปกรณ์ต่างๆ ดังกล่าวควบคู่ไปกับการเช็คเลขไมล์ที่วิ่งในการตรวจสอบสภาพรถได้ โดยการเช็คว่าถ้าเลขไมล์ที่วิ่งน้อย แต่อุปกรณ์ต่างๆ เสื่อมสภาพไปมากแล้ว อันนี้จะแสดงถึงความผิดปรกติของรถ แต่ในทางกลับกันถ้าเลขไมล์ที่วิ่งสูง แต่อุปกรณ์อื่นๆ ยังอยู่ในสภาพดี รถคันนั้นก็ดู น่าสนใจ
3. สอบถามเกี่ยวกับ สถานที่ ( ภูมิภาค ) และสภาวะแวดล้อมในการขับขี่ของเจ้าของเดิม
4. เช็คอุปกรณ์ต่างๆ รอบตัวรถ: เริ่มต้นจากการเช็ค ไฟบอกสัญญาณต่างๆ เช่น ไฟบอกสัญญาณเลี้ยว และไฟเบรก เช็คแตร ว่าเสียงดังฟังชัดหรือไม่ และความยากง่ายในการบีบแตร เช็คอุปกรณ์ทำความสะอาดกระจกรถ เช่น ใบปัดน้ำฝนอยู่ในสภาพดี ไม่แข็งหรือเหนียวจนเกินไป และอุปกรณ์ฉีดน้ำทำงานตามปกติหรือไม่ เช็คสภาพยางรถยนต์ โดยการตรวจสอบความสึกหรอของยางทั้ง 4 ล้อว่าเท่ากันหรือไม่ การสังเกตการสึกหรอของยางสามารถบ่งบอกถึง การวางตัวของ โครงสร้างรถ สภาพของยางเป็นจุดที่ควรตรวจสอบเพราะว่า ราคาของยาง 4 เส้นก็เป็นราคาค่อนข้างสูง ซึ่งคุ้มค่ากับการตรวจสอบ
จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 8 ก.พ. 50 14:09:08 ]
ความคิดเห็นที่ 48
46. การทดลองขับจริงและข้อควรสังเกต
คุณควรจัดสรรเวลาส่วนใหญ่ในการทดลองขับจริง เพราะว่าการทดลองขับจริงสามารถบอกได้หลายอย่างเกี่ยวกับตัวรถ เช่น โครงสร้างภายในของรถ เหมาะสมกับตัวคุณหรือไม่ การควบคุมรถบนท้องถนน และรวมถึงเสียงต่างๆ โดยมีข้อควรสังเกตในการทดลองขับจริงดังต่อไปนี้
ทดลองปรับพนักที่นั่งในตัวรถว่า เหมาะสมกับตัวคุณหรือไม่ และรวมไปถึงความยากง่ายในการควบคุมรถ
- ตรวจสอบประสิทธิภาพของเข็มขัดนิรภัย ว่ายังสามารถใช้งานได้อยู่หรือไม่ และคาดแล้วรู้สึกอย่างไร
- เช็คสภาพการมองเห็นของกระจกหน้ารถ กระจกมองข้าง และกระจกมองหลัง ว่าสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนหรือไม่
- ทดลองจอดรถเทียบข้างถนน เพื่อเช็คดูว่ามีความยากง่าย หรือจุดบอดใดหรือไม่
- ลองเหยียบ คลัตช์ เบรกและคันเร่งต่างๆ เพื่อเช็คถึงความสะดวกสบายในการใช้หรือไม่ ในกรณีที่ทำการทดสอบรถขับเคลื่อนสี่ล้อ อย่าลืมทดสอบการใช้ ระบบเกียร์ 4WD ดูว่าสามารถใช้งานได้ตามปกติหรือไม่
- เช็คระบบทำความร้อน และระบบทำความเย็นของรถ ว่ายังสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่
- เช็คช่องระบายลม ว่ามีลมออกดีทุกช่องหรือเปล่า รวมไปถึงระบบไล่ฝ้า ว่ามีความร้อนเกิดขึ้นหรือเปล่า
- ลองสตาร์ทเครื่อง แล้วฟังดูว่ามีเสียงเครื่องกระตุกหรือไม่ แล้วจึงทำการเหยียบเร่งเครื่องอย่างช้าๆ เพื่อฟังเสียงเครื่องอีกครั้งหนึ่ง ในระหว่างที่กำลังเร่ง เครื่องอยู่นั้นให้เช็คอีกทีว่า มีลมออกจากช่องแอร์อย่างต่อเนื่องหรือเปล่า
- ในตอนเริ่มต้นของการขับปกติ ให้เช็คระบบการขับเคลื่อน และการเปลี่ยนเกียร์ ในขณะเดียวกันให้ลองฟังเสียงที่เล็ดลอดมาในรถเพื่อตรวจสอบรอยต่อ ของกระจก และประตู
- หลังจากที่ขับไปสักพัก ให้ทำการทดลองขับผ่านทางชัน ด้วยความเร็วต่ำ ( ประมาณ 20 กม./ชม.) ก่อน 1 รอบ และ ความเร็วระดับปานกลาง ( ประมาณ 45 กม./ชม.) อีก 1 รอบ ในระหว่างที่ขับผ่านทางชันให้ลองฟังเสียงของช่วงล่าง เพื่อเช็คความสมบูรณ์ของข้อต่อต่างๆ
- วางแผนการทดสอบการขับรถโดยให้มีทั้งทางเรียบ และทางขรุขระ ในขณะที่ขับอยู่บนทางเรียบให้ลองจับพวงมาลัยแบบหลวมๆ เพื่อตรวจสอบดูว่า ศูนย์ตรงหรือเปล่า โดยการสังเกตว่ารถเลี้ยวไปทางไหนหรือเปล่า
- ในการทดสอบระบบเบรก ทำได้โดยการหาช่วงถนนที่ไม่ค่อยมีรถขับไปมาแล้ว ทำการเบรกจากระดับความเร็วที่ 50 กม./ชม. และถ้าเบรกแล้วมีอาการ สั่นที่คันเบรก ให้เช็คดูว่ารถคันนั้นมีระบบ ABS หรือเปล่า เพราะว่าเป็นอาการปกติของรถที่มีระบบนี้
สุดท้ายก่อนที่จะสิ้นสุดการทดลองขับจริง ให้เช็คระบบควบคุมและ ระบบไฟฟ้าภายในรถว่ายังใช้งานได้ตามปกติหรือไม่ เช่น ทดสอบชุดเครื่องเสียง และลำโพงโดยการเพิ่มและลดระดับเสียง ทดสอบการใช้งานของปุ่มควบคุมต่างๆบนรถ โดยอาจจะสอบถามลักษณะการใช้งานจากเจ้าของรถ ทดสอบ การทำงานของระบบเซ็นทรัล ล็อก และการเปิด-ปิดของประตู เช็คดูว่าเอกสารอยู่ครบหรือไม่ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ติดมากับตัวรถอยู่ในสภาพที่ยัง ใช้งานได้
จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 8 ก.พ. 50 14:10:07 ]
ความคิดเห็นที่ 49
47. การตรวจสอบร่องรอยอุบัติเหตุ
การที่จะทำการตรวจสอบว่ารถคันนี้เคยประสบอุบัติเหตุมาก่อนหรือไม่ สามารถรู้ได้จากวิจารณญาณของช่าง นอกจากนี้ช่างสามารถบอกได้ถึงคุณภาพ ของงาน ซ่อมอีกด้วย และก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะปฏิเสธรถที่ผ่านการซ่อมมาเป็นอย่างดี และด้วยความรู้เรื่องของการซ่อมเป็นอย่างดี ก็จะช่วยในการต่อรองราคากับ เจ้าของรถ นอกจากการให้ช่างหรือผู้เชี่ยวชาญมาทำการตรวจสอบรถแล้ว ยังมีวิธีอื่นที่ใช้ในการตรวจสอบอีกคือ
1. สามารถเช็คได้จากความกลมกลืนของสี, ความมันวาว, และความเสมอกันของเนื้อสี โดยทั่วไปแล้วถ้ามีอุบัติเหตุร้ายแรง และมีการซ่อมแซมสี คุณจะสามารถสังเกตเห็นความแตกต่างของสี หรือริ้วคลื่นของสีบริเวณตัวถังรถ หรือ รอยต่อของรถ
2. นอกเหนือจากสีแล้ว ยังสามารถสังเกตความเข้ากันของชิ้นส่วนต่างๆ ของรถ โดยการเดินไปที่บริเวณหน้าและหลังรถเพื่อให้สังเกตถึงความไม่เท่ากัน ของจุดเชื่อมต่อได้ง่ายยิ่งขึ้น
***การเช็คเลขไมล์
การเช็คว่าเลขไมล์ถูกปรับแต่งหรือไม่นั้น ขั้นแรกทำได้โดยการสอบถามถึงอัตราของการใช้รถโดยเฉลี่ยต่อปี แต่ว่าถ้าไม่ใช่รถใหม่ที่ซื้อมาจากตัวแทน จำหน่ายข้อมูลที่ได้มาก็จะไม่สามารถใช้ในการพิจารณาได้ ขั้นต่อไปให้มองหาความแตกต่างระหว่างตัวเลขในเอกสารกับเลขไมล์จริงที่รถ ส่วนมากในเอกสารที่ได้ มาจากการเข้าศูนย์บริการต่างๆ จะมีเลขไมล์บอกกำกับอยู่ด้วย ดังนั้นวิธีการเช็คอย่างง่ายก็คือ การเปรียบเทียบระหว่างเลขไมล์ในเอกสาร และวันที่เข้ารับ การบริการกับเลขไมล์จริงที่รถ แค่นี้คุณก็สามารถบอกได้ว่าตัวเลขเหล่านี้มีการปรับแต่งหรือไม่
จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 8 ก.พ. 50 14:10:50 ]
ความคิดเห็นที่ 50
มายอมรับว่าไม่ได้อ่านเลยครับ
มาดูดอย่างเดียว
ฮ่าๆๆ
จากคุณ : มัจฉาเสียบฉึก - [ 8 ก.พ. 50 14:11:29 ]
ความคิดเห็นที่ 51
48.การใช้เกียร์ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (Four Wheel Drive)
การใช้งานของรถขับเคลื่อน 4 ล้อ จึงมีวัตถุประสงค์หลักอยู่ 2 ประการ คือ :
1. เพื่อใช้ขับเคลื่อนบนสภาพถนนที่ทุรกันดารและเป็นถนนที่ขรุขระ (Off Road) การออกแบบจึงมุ่งเน้นให้โครงสร้างตัวถังมีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ เพื่อให้สมารถลุยงานหนักในสภาพภูมิประเทศที่ทุรกันดารได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตัวรถจะถูกยกให้สูงจากพื้นถนนมากกว่ารถยนต์โดยปกติทั่วๆ ไป ป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตัวถัง
2. เพื่อใช้ขับเคลื่อนบนสภาพถนนปกติทั่วๆ ไป (On Road) ถึงแม้การออกแบบรถจะเน้นความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ แต่ชิ้นส่วนโครงสร้างจะเหมือนรถยนต์ทั่วๆ ไป สามารถขับขี่บนสภาพถนนปกติ โดยใช้ความเร็วในการขับเคลื่อนได้สูงเช่นเดียวกัน
ประเภทของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ รถยนต์ในปัจจุบันที่ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา (Full-Time Four Wheel Drive System) เป็นระบบขับเคลื่อนที่ใช้ล้อทั้ง 4 ล้อในการขับเคลื่อนไปด้านหน้าพร้อมๆ กันตลอดเวลา บนสภาพถนนธรรมดาจนถึงถนนทุรกันดาร ระบบขับเคลื่อนแบบนี้ เครื่องยนต์จะต้องใช้กำลังงานในการขับเคลื่อนอย่างเต็มที่ตลอดเวลา ทำให้มีกำลังงานในการขับเคลื่อนที่ทรงประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาที่ใช้งาน โดยปกติรถยนต์ที่ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาจะใช้คันเกียร์ในการขับเคลื่อนอยู่ในคันเกียร์เดียว ซึ่งข้อดีของรถยนต์ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนนี้ คือ ให้พลังงานในการขับเคลื่อนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพตลอดระยะเวลาที่ใช้งาน ช่วยให้การทรงตัวและการยึดเกาะถนนของตัวรถดีขึ้นเมื่อขับรถบนสภาพถนนที่ลื่นไถล
2. ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อบางเวลา (Part-Time Four Wheel Drive System) เป็นระบบขับเคลื่อนที่ใช้ล้อทั้ง 4 ล้อในการขับเคลื่อนไปด้านหน้าพร้อมๆ กันในบางเวลาและสามารถเลือกใช้ระบบขับเคลื่อนเป็น 2 ล้อ หรือ 4 ล้อก็ได้ ขึ้นอยู่กับสภาพของถนน การใช้ระบบขับเคลื่อนเป็นแบบ 4 ล้อ จะใช้เฉพาะเมื่อต้องวิ่งบนสภาพถนนที่ขรุขระหรือทุรกันดารมากๆ เป็นถนกรวดทราย หรือเป็นโคลน เมื่อเลือกใช้ระบบขับเคลื่อนเป็นแบบ 4 ล้อก็จะช่วยให้ตัวรถทรงตัวและยึดเกาะถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เมื่อวิ่งบนสภาพถนนปกติก็เลือกใช้ระบบขับเคลื่อนเป็นแบบ 2 ล้อหลัง ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากยิ่งขึ้น รถยนต์ที่ใช้ระบบเคลื่อนแบบนี้จะใช้คันเกียร์ในการเลือกระบบขับเคลื่อน 2 เกียร์ 1.1 คันเกียร์แรก ใช้ในการขับเคลื่อนปกติ 1.2 คันเกียร์ที่สอง มีขนาดที่เล็กและสั้นกว่าคันเกียร์แรกโดยจะอยู่ที่ด้านนอก ซึ่งคันเกียร์นี้มีไว้สำหรับให้ผู้ขับขี่เลือกใช้ระบบขับเคลื่อนให้เป็นแบบ 2 ล้อ หรือ 4 ล้อก็ได้
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อบางเวลามีข้อดีคือ : ให้พลังงานในการขับเคลื่อนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ช่วยให้การทรงตัวและการยึดเกาะถนนของตัวรถดีขึ้นเมื่อขับรถบนสภาพถนนที่ลื่นไถล ช่วยให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากยิ่งขึ้น ช่วยลดการสึกหรอของระบบช่วงล่างและระบบส่งกำลัง
แต่ระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อบางเวลา มีข้อจำกัด คือ ไม่สามารถใช้กำลังของเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อน 4 ล้อ ได้อย่างทันทีทันใด เพราะต้องเสียเวลาในการเปลี่ยนเกียร์ เพื่อเลือกใช้ระบบขับเคลื่อนเสียก่อน
ความแตกต่างของการใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อบางเวลา คือ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา เมื่อผู้ขับขี่เลื่อนตำแหน่งคันเกียร์ปกติ กำลังงานของเครื่องยนต์จะถูกส่งผ่านไปยังชุดส่งกำลัง (Transfer) ผ่านโซ่ไปยังชุดเฟืองท้ายเพื่อไปขับเคลื่อนให้ล้อหน้าหมุนไปพร้อมๆ กับล้อด้านหลังทันที
สำหรับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อบางเวลา เมื่อผู้ขับขี่เลื่อนคันเกียร์ที่ 2 จะมีอุปกรณ์สำหรับตัดและต่อกำลังงานไปที่เพลาขับของล้อด้านหน้าให้ขับเคลื่อนเป็นแบบ 2 ล้อ หรือ 4 ล้อ อุปกรณ์ดังกล่าวเรียกว่า Free Wheel Hub ซึ่งจะติดตั้งอยู่ที่ดุมล้อหน้า เมื่อผู้ขับขี่ต้องการใช้ระบบขับเคลื่อนเป็นแบบ 2 ล้อ ก็ต้องปรับชุดควบคุม Free Wheel Hub ให้อยู่ในตำแหน่ง Free เพลาขับของล้อหน้าจะถูกตัดการทำงานออกจากชุดเฟืองท้ายด้านหน้า ล้อรถด้านหน้ายังคงหมุนตามล้อหลังเป็นปกติ แต่จะไม่เกิดการส่งกำลังไปขับเคลื่อนล้อหน้า ช่วยลดการสึกหรอของระบบส่งกำลังและประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากยิ่งขึ้น
แต่ในกรณีที่ต้องการใช้ระบบขับเคลื่อนเป็นแบบ 4 ล้อ ต้องปรับชุดควบคุม Free Wheel Hub ให้อยู่ในตำแหน่ง Lock เพลาขับของล้อหน้า จะถูกต่อการทำงานเข้ากับชุดเฟืองท้ายด้านหน้า กำลังของเครื่องยนต์จะส่งผ่านชุด Transfer ไปยังเพลากลาง ซึ่งต่ออยู่กับชุดเฟืองท้ายด้านหน้า เพื่อไปขับเคลื่อนให้ล้อหน้าหมุนส่วนกลไก ที่ใช้ควบคุมการตัดและต่อกำลังงานของเครื่องยนต์ไปยังชุด Free Wheel Hub ของรถยนต์ ที่ใช้
จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 8 ก.พ. 50 14:14:39 ]
ความคิดเห็นที่ 52
49. ขั้นตอนการขอใบอนุญาตขับรถ
ผู้ประสงค์จะขับรถ จะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในแต่ละประเภทของใบอนุญาตและจะต้องผ่านการทดสอบโดยทั่วไป คือ การขอใบอนุญาต - อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ - ร่างกายไม่ทุพพลภาพ - มีบัตรประชาชนหรือใบต่างด้าว - สำเนาทะเบียนบ้าน - รูปถ่าย 2 นิ้ว 2 รูป - มีความความสามารถในการขับรถ และรู้กฎจราจร
**การสอบข้อเขียน ผู้สมัครจะต้องผ่านการสอบข้อเขียนในเรื่องเครื่องหมายจราจร กฎหมายจราจรและสิ่งที่ควรรู้ในขณะขับรถ โดยจะต้องทำคะแนนสอบให้ได้ 60% ขึ้นไป
**การสอบขับรถ ผู้สอบผ่านข้อเขียน จะต้องมาสอบภาคปฏิบัติการขับรถยนต์ โดยจะต้องสอบผ่านภาคสนามตามการสอบ ดังนี้ - การสอบเดินหน้าและถอยหลัง - การสอบเทียบทางเท้า - การสอบถอยหลังเข้าช่องว่างด้านซ้าย - การสอบเดินหน้า ถอยหลัง ทางโค้ง - การสอบขับรถทางแคบ - การสอบผ่านทางรถไฟ จะมีสัญญาณควบคุมหรือไม่ก็ตาม - การสอบความสามารถในการหยุดรถ - การสอบหยุดรถบนเชิงลาด หรือบนเนินสะพาน - ขับรถตามเครื่องหมายจราจร - ผู้ที่สอบผ่านทุกขั้นตอนทางการจะออกใบอนุญาตขับรถชั่วคราวให้ มีอายุ 1 ปี หลังจากนั้นจะต้อง ต่ออายุอีก 3 ปี ปีละ 1 ครั้ง หลังจากนั้นสามารถขอเป็นใบอนุญาตขับรถตลอดชีพส่วนบุคคลได้
จากคุณ : บั้งไฟลาว - [ 8 ก.พ. 50 14:15:06 ]
ความคิดเห็นที่ 53
เหมือน #50
จากคุณ : Asius Promotoh - [ 8 ก.พ. 50 14:16:20 ]
ความคิดเห็นที่ 54
50. สุดท้ายเอาเบอร์โทรมาฝากครับ
**เรียกรถแท๊กซี่ ศูนย์บริการแท็กซี่ ........................1681, 1661, 1668, 1545 สหกรณ์แท็กซี่ไทย ....................... 0-240-2222, 0-2468-7374 ศูนย์แท็กซี่เจริญเมือง ..................... 0-2611-6499, 0-2676-1000
***การจราจร และเดินทางท่องเที่ยว สอบถามการจราจร ...................................................197 สน.91
...1644 วิทยุ จส.100
0-2711-9151-8 วิทยุร่วมด้วยช่วยกัน....................................................1667 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
...0-2250-5500 ตำรวจท่องเที่ยว .........................................................1699 ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว
1155, 0-2281-5051 ตำรวจทางหลวง .........................................................1193 ทางด่วน ...................................................................... 0-2249-6943 จราจรกลาง
..1175
สถานีขนส่งสายตะวันออก ......................................... 0-2391-8097 สถานีขนส่งสายใต้....................................................... 0-2434-5558, 0-2435-1199 สถานีขนส่งสายเหนือ และตะวันออกเฉียงเหนือ........ 0-2936-3659-60 , 0-2936-2825 ต่อ 311 สถานีรถปรับอากาศ สายตะวันออก ............................0-2391-2504 สถานีรถปรับอากาศ สายใต้ ........................................0-2434-7192, 0-2435-1200 สถานีรถปรับอากาศ สายเหนือ และสายตะวันออกเฉียงเหนือ 0-2936-2852-66 ต่อ 311 สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) ................................. 0-2223-0341-8 สอบถามอัตโนมัติ....................................................... 1690 สถานีรถไฟสายใต้ (บางกอกน้อย) .............................0-2411-3120
***สายการบิน การบินไทย ในประเทศ แอร์พอร์ต ............................0-2535-2081-2 - สำนักงาน 0-2628-2000
ต่างประเทศ แอร์พอร์ต ..............................................0-2535-2846-7 - สำนักงาน 0-2232-8172, 0-2232-8182 สอบถามอัตโนมัติ 1566
บางกอกแอร์เวย์ แอร์พอร์ต.......................................... 0-2535-2497-8 - สำนักงาน 0-2265-5678
พี บี แอร์ แอร์พอร์ต....................................................... 0-2535-4843-4, 0-2535-5816 - สำนักงาน 0-2261-0220-5
ภูเก็ต แอร์ไลน์ แอร์พอร์ต ............................................... 0-2535-6695-7 สำนักงาน 0-2679-8999, 0-2285-5038-9
แอร์อันดามัน แอร์พอร์ต
0-2996-9119 - สำนักงาน 0-2229-9555
นกแอร์ แอร์พอร์ต ...............................................................0-2535-7539 - สำนักงาน 1318
โอเรียนท์ไทย แอร์พอร์ต ........................................................ 0-2535-6521 - สำนักงาน 0-2267-2999
แอร์เอเชีย แอร์พอร์ต .............................................................0-2535-8240-2 - สำนักงาน 0-2515-9999
Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2550 |
|
17 comments |
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2550 0:57:01 น. |
Counter : 6539 Pageviews. |
|
|
|
สาระเพียบ
ขอรับพี่น้อง อิ อิ อิ
***************