|
~ หนีเมืองไปเที่ยวสังขละบุรี ฝนมาข้าไม่กลัว ~
การเดินทางเริ่มขึ้นที่ หมอชิต ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทาง ซึ่งผมเองโดยสารรถทัวร์ของ บขส. รอบ 6 โมงเช้า ด้วยรถ ป.2 กับค่าโดยสารแสนคุ้มที่ 259 บาท ซึ่งจริงๆแล้วรอบรถออกจาก กทม มี 4 รอบคือ 5.00 6.00 8.00 รอบสุดท้ายจำไม่ได้และไม่ได้จดมา ซึ่งเป็นรถ ป.1 และ ป.2 สลับกันที่ราคา 333 บาท และ 259 บาท
สถานการณ์สภาพอากาศกรุงเทพ ณ วันที่เดินทางยังคงสดใสหวังในใจนิดๆว่า ไปแล้วอย่าให้ฝนมันตกอะไรมากมายเลย เอาหอมปากหอมคอก็พอ เวลาผ่านไปถึง 6.15 น. รถยังไม่ออก แต่เราก็ไม่ซีเรียสอะไร เช้าอยู่ไม่รีบ แล้วก็ถือโอกาสหลับซะเลย เพราะวันศุกร์ได้ลุยงานเต็มที่แถมกลับมาดูบอลอีกตะหาก
ตื่นขึ้นมาอีกทีเมื่อเวลาประมาณ 11 โมง รถก็เกือบถึงที่ อ.ทองผาภูมิ แล้ว ไวจัง อดชมวิวเลย...
รถแวะจอดที่ทองผาภูมิเพื่อพักรถยืดเส้นสายกัน 5 นาที ผมก็ถือโอกาสไปกินข้าว ซึ่งขอเซนเซอร์เนื่องจากมีเวลาแค่ 5 นาที ภาพจึงขัดต่อศีลธรรมอันเหมาะสมแก่สังคม
-----------------------------------------------------------------------------
และแล้วก็มาถึง อ.สังขละบุรี จุดหมายปลายของทางใจ จุดพลังให้ฉันมีแรงก้าวไป ฝันนั้นไกลแค่ไหน จะไขว่คว้ามา... เอาตอน 12.30 น. ได้ รวมระยะเวลาเดินทางประมาณ 6.30 ชม. กับระยะทาง 380 กว่ากิโลเมตร และ ฝนไม่ตกแล้ว
แน่นอนเมื่อลงจากรถแล้วมีบรรดาพี่ๆมอไซด์รับจ้างมาจ่อรอที่ประตู เหมือนรู้คิวว่ารถจะมากี่โมง แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเพราะกะว่าจะเดินเข้าไปเพราะแผนที่ที่ได้มาบอกผมว่าห่างออกไปนิดเดียว แต่ปรากฎว่า งานเข้าแล้วครับ แผนที่ที่ได้มามันไม่ใช่เลย ตำแหน่งเพี้ยนไปหมด ที่พักตูอยู่ไหน... !!
เลยต้องจำใจเดินไปหาพี่มอไซด์วิน พร้อมกับทำใจว่า มอไซด์ ตจว. โขกคน กทม แน่ๆ เหมือนคน ตจว เข้ามาให้คน กทม โขก แต่กลับผิดคาดมากๆครับ เพราะว่า !!
สนนราคาเที่ยวละ 10 บาทเท่านั้น !! ...
-----------------------------------------------------------------------------
จากจุดลงรถประมาณ 3 นาที พี่มอไซด์ก็พาผมมาส่งที่ที่พักแล้วนั่นคือ "สามประสบ รีสอร์ท"
โดยคำว่า "สามประสบ" มีที่มาจาก การที่แม่น้ำสามสายมาบรรจบกัน ณ อ.สังขละบุรีนี้ คือ แม่น้ำซองกาเลียง รันดี บิคลี่ รวมกันจนไปต้นน้ำของแม่น้ำเควนั้นแหละครับ
-----------------------------------------------------------------------------
จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่เค้าเตอร์เพื่อทำการตรวจภายใน ( Check In ) โดยผมจองห้องโปรโมชั่นไว้ คือ ห้อง 900 บาท ลดเหลือ 700 บาท ซึ่งต้องจำใจจองไว้เพราะห้อง 600 บาทยอดนิยมนั้นเต็มหมดแล้ว
ภายหลังเปิดประตูห้องเข้าไปแล้วก็พบกับสิ่งที่ผมคาดไม่ถึงนั้นคือ
ห้องเป็นแบบ Moutian View สามารถมองเห็นวิวสวยๆทางด้านทิศตะวันตกของเมืองได้จากระเบียงห้อง !!
โหยยยย แบบนี้ 900 ยังยอมจ่ายเลย เพราะสวยคุ้มค่าจริงๆ แต่บอกน้องที่พามาดูห้องว่า 700 แหละดีแล้ว ให้พี่เก็บตังไว้กินหนมนะ อิอิ
-----------------------------------------------------------------------------
สภาพห้องโดยรวมถือว่าดีมาก
ทีวีเป็นเคเบิ้ลเนื่องจากเป็นเมืองในหุบเขาขนาดนี้สัญญาณโทรทัศน์ต้องหายากมากๆ
ห้องน้ำสภาพสวยงาม มีเครื่องทำน้ำอุ่น กับ น้ำแรงๆสะใจคนที่ชอบให้น้ำกระแทกตามเนื้อตัวแรงๆ ออกแนวซาดิสอย่างบอกไม่ถูก 555
เตียงไม่นุ่มและไม่แข็งจนเกินไป แต่ไฮไลท์คืออยู่ริมระเบียง รับอากาศสดชื่นได้เต็มที่ โดยจะนอนอ่านหนังสือไปรับลมไปก็ได้ อย่างตัวผมก็พกโน๊ตบุ๊คู่ใจเข้าไปด้วยเผื่อแก้เซงหากติดฝนไม่ได้ออกไปไหน
เสียดายถ้ามีเตียงผ้าใบ ตั้งอยู่ริมระเบียงด้วยก็คงจะดีมากๆเลยหละ...
-----------------------------------------------------------------------------
สำรวจห้องเสร็จแล้วผมก็ลองออกมาดูที่ระเบียงหน่อยว่าวิวจะสวยขนาดไหนกัน ซึ่งวิวนี้ไม่ใช่วิวที่สวยที่สุดของที่รีสอร์ทนี้ แต่ก็ถือว่าสวยอยู่ดีแหละ
โดยข้างหน้าที่เห็นนั่นคือสะพานซองกาเลียง เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นยอดนิยมของผู้ที่มาท่องเที่ยวที่นี้ เพราะ หากถ่ายรูปจากจุดนั้นแล้วเห็นทั้งทะเลสาบ สะพานไม้ ทิวเขา ซึ่งได้ภาพที่สวยมากๆ
-----------------------------------------------------------------------------
หิวแล้ว ไปหาอะไรกินดีกว่า อาหารที่นี่ส่วนใหญ่เป็นอาหารทะเลจำพวกปลา และ กุ้ง เนื่องจากอาชีพประมงคืออาชีพหลักของคนที่นี่ อาหารก็มีหลากหลายแบบครับ ทั้งอาหารตามสั่ง (กินแล้วเหนื่อย) , อาหารประเภทยำ ต้ม ทอด ผัด เหมือนๆกับร้านอาหารทั่วๆไป...
และผมก็สั่งอาหารสิ้นคิดไปหนึ่งจานนั่นคือ "ข้าวหมูกระเทียมไข่เจียว" ^ ^
จากนั้นก็เดินหามุม หาวิว สวยๆนั่งรออาหารมาส่ง โดนได้มุมดังในรูป จะเห็นว่าแดดออกจ้าเลยหละ มีความหวังแล้วหละ...
-----------------------------------------------------------------------------
เนื่องด้วยเริ่มรอนานละเพราะมีคนมาสั่งอาหารรอกินก่อนเราพอสมควรเลยพา "สหรัถ" ไปเก็บวิวซะหน่อย
จากระเบียงร้านอาหารของรีสอร์ท ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของ อ.สังขละบุรี เลย และ มันก็สวยจริงๆ โดยจากจุดนี้มีสิ่งที่เราเห็นได้และน่าสนใจมากๆอยู่ 3 อย่างคือ...
รูปนี้จะเห็น ยอด "เจดีย์พุทธคยา" ที่เป็นสีเหลืองๆอย่างชัดเจน โดยตัวผมตั้งใจว่าจะไปในวันพรุ่งนี้
-----------------------------------------------------------------------------
อันนี้ "สะพานมอญ" เป็นสะพานไม้ที่สร้างด้วยไม้ตลอดทั้งสะพาน รวมระยะทางประมาณ 900 เมตร ซึ่งถือได้ว่าเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย
และถ้าผมจำไม่ผิดหลวงพ่ออุตมะ เป็นผู้ดำเนินสร้างสะพานมอญนี่ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเส้นทางสัญจรหลักของชุมชนคนไทยและชุมชนชาวมอญให้ไปมาหาสู่กันได้สะดวกมากขึ้น...
-----------------------------------------------------------------------------
นอกจากนั้นจากจุดนี้ยังสามารถชมวิถีชีวิตของชาวสังขละบุรีได้ จากจุดชมวิวจะได้ยินเสียงเครื่องเรือเป็นระยะ นั่นคือ เรือหาปลาบ้าง เรือจ้างบ้าง
(งงหละสิทำไมไม่วิวที่สามหายไป... ไว้ปิดท้ายนะ)
-----------------------------------------------------------------------------
ภายหลังกินข้าวเสร็จแล้ว ผมก็รีบลงไปที่สะพานมอญใกล้ๆกับที่พักนี่แหละครับ เพื่อลงไปเก็บภาพซะหน่อยแดดกำลังออก
พอลงไปได้สักพักฟ้าครึ้มเร็วมาก ไม่ถึง 5 นาทีฝนก็ตกลงมาซะละ ผมก็เลยได้มาแค่สองสามรูป ยังไม่ทันได้หามุมสวยๆเลย
-----------------------------------------------------------------------------
หลังจากมาถึงห้องพักผมก็สลบลงกับที่นอนเนื่องด้วยความเพลียก่อนเดินทางมา แล้วผมเปิดประตูระเบียงไว้โล่งโจ้งเลยหละ แบบว่าอากาศดีจนเคลิ้มหลับไป...
จนเวลาประมาณ 6 โมงเย็นก็ตื่นขึ้นมา พร้อมกับวิวยามเย็นจากหน้าต่างบานเดิม ซึ่งดูสวยงามไปอีกแบบ อิอิ
-----------------------------------------------------------------------------
หลังจากดู บางรักซอย [ (7-4) x 5 ] - 6 จบแล้ว ผมก็จัดแจงอาบน้ำ ล้างหน้า ล้างตา ลงไปหาอะไรกินอีกรอบ โดยไม่กลัวอ้วนซะอย่างนั้น
รอบนี้มาสั่งก็อาหารสิ้นคิดอีกครั้ง "ข้าวผัดหมู" เหอๆ
แล้วก็ตามระเบียบ มาทีไรคนเยอะทุกที เลยลุกไปถ่ายรูปเล่นสักหน่อย...
และหลังจากกินเสร็จ ก็กลับห้องไปทำนู่นทำนี่ แล้วก็รอดูบอลจนดึกจนดื่น จนดึกมาแล้วก็นอนเก็บแรงไว้ลุยเที่ยวดีกว่า...
-----------------------------------------------------------------------------
รุ่งขึ้นมาตั้งปลุกไว้ตอน ตี 5 ครึ่ง เพื่อตื่นมาเก็บบรรยากาศยามเช้า และมารอดูหมอกว่ามันจะลงไหม...
พอออกมาจากห้องฟ้าก็เริ่มสว่างนิดๆละ ผมก็จัดแจงรีบเดินลงไปที่สะพานมอญ และ ระหว่างทางก็เจอวิวสวยๆเข้าเลยสอยมาสักหน่อย...
-----------------------------------------------------------------------------
เดินลงไปได้สักพักหนึ่งก็พบว่าเช้านี้ไม่น่าจะเจอหมอกแล้วเพราะรอบๆตัวเราไม่มีหมอกเลย ขนาดไกลๆบนเขายังไม่มีเลย T T
เลยถ่ายบรรยากาศเก็บไว้ โดยแพข้างล่างที่เห้นเป็นแพที่พักของอีกเจ้านึงชื่อ "แพลุงเณร" ราคาเท่าไหร่ไม่รู้....
-----------------------------------------------------------------------------
จากนั้นก็เดินไปถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆ ชมบรรยากาศไปเรื่อยๆ ตามแนวสะพาน พบว่าไม่มีใครเลย มีแต่เราเพียงผู้เดียวเสมือนเป็นสะพานของเรา 555
-----------------------------------------------------------------------------
เวลาผ่านไปนานพอสมควร ฝนก็ตกพรำๆ ฟ้าปิดอย่างชัดเจน พระอาทิตย์คงไม่มาหาผมแล้วก็เลย ตัดสินใจกลับห้องดีกว่า ไปอาบน้ำแต่งตัว
จากนั้นเวลาประมาณ 7 โมง ผมก็กลับไปจัดแจงเตรียมกล้องเตรียมของออกเดินทางไปยัง "เจดีย์พุทธคยา" และ "วัดวังวิเวห์การาม" ซึ่งอยู่อีกฝั่งของเมือง
ด้วยการเดินเท้าข้ามสะพานไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ไปยังอีกฝั่ง
ภาพที่พบเห็นเมื่อมาถึงสะพานคือคนในตอนเช้าๆนี่เวลาประมาณ 7 โมงนิดๆ ผู้คนยังไม่เยอะเท่าไหร่ ไม่ค่อยต่างกับตอนลงมาตอนตี 5 กว่านั้น มีผมลงไปคนเดียวเอง สงสัยผมจะแปลกอยู่คนเดียวที่ชอบตื่นเช้าๆมาเก็บบรรยากาศ
-----------------------------------------------------------------------------
ในตอนเช้าๆของเมืองสังขละบุรีนั้น นอกจากนักท่องเที่ยวลงมาถ่ายรูปกับสะพานมอญแล้ว อีกมุมหนึ่งของเมืองก็คือ ชาวบ้านเริ่มออกทำงาน ออกหาปลาเก็บอวนเก็บแหกันแล้ว
ดูแล้วก็ได้อารมณ์ต่างออกไปอีกแบบ...
-----------------------------------------------------------------------------
หลังจากแวะหามุมถ่ายรูปเดินเล่นไปเล่นมาที่สะพานสักพักแล้ว ผมก็เดินข้ามสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ไปอีกฝั่งคือ "หมู่บ้านแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง" หรือ "หมู่บ้านชาวมอญ" นั่นเอง
สิ่งที่พบเห็นได้ไม่ต่างจากเมืองไหนก็คือจะพบกับวิถีชาวบ้าน บางบรรยากาศก็ต่างออกไปจากฝั่งหมู่บ้านชาวไทย แต่ทว่าวัฒนธรรมต่างๆของชาวมอญก็ไม่ต่างจากคนไทยเท่าไหร่ โดยมีบรรดาชาวมอญออกมาใส่บาตรกัน ซึ่งพระเณรที่นี่มากันครบชุดเลย ทั้งพระ เณร เด็กวัด และ หมาวัด
-----------------------------------------------------------------------------
หลังจากข้ามสะพานมาแล้วเดินตรงๆไปอีกนิดหน่อย ก็จะถึงแหล่งอาหารยามเช้า นั่นคือ "โจ๊ก" นั่นเอง
ซึ่งมีอยู่บริเวณนั้นประมาณ 3 ร้านได้มั้ง ของผมร้านไหนก็ได้ ก็เลยเลือกร้านที่ไม่มีคนนั่งซะเลย จะได้กินเร็วๆ อิอิ
-----------------------------------------------------------------------------
ตัวผมเองสั่งมากินชามนึงเพื่อลองลิ้มชิมรสสักหน่อย ก่อนที่จะไปแวะหาของกินที่ตลาดชาวมอญที่อยู่ระหว่างเส้นทางการเดินทางครั้งนี้
ผลปรากฎว่า อร่อยดีแฮะ.... ไว้พรุ่งนี้จะข้ามมากินอีก...
-----------------------------------------------------------------------------
หลังจากอิ่มแล้ว ก็ออกเดินทางต่อไป โดยเดินเท้าไปตามถนนอุตมานุสรณ์(ถนนที่ต่อกับสะพานไม้) ไปเรื่อยๆจนเจอสามแยกแล้วก็เลี้ยวซ้าย
เดินไปได้สักพักนึงก็จะพบกับ "ตลาดชาวมอญ" ตัวผมเองก็เลยแวบเข้าไปหาของกินสักหน่อย
แต่ผลปรากฎว่า.... ไม่มีอาหารขายเลย มีแต่ของสด แย่ละงานนี้กินโจ๊กมาชามเดียวเองด้วย เลยต้องจำใจเดินทางต่อไป แล้วเก็บท้องไว้กินตอนขากลับแทน...
-----------------------------------------------------------------------------
จากนั้นก็เลยออกเดินทางต่อไปตามถนนเส้นเดิม มีเป็นเนินเล็กๆสลับไปมาให้ได้ออกแรงกันบ้าง
ระหว่างทางก็ได้เจอรูปแบบการใช้ชีวิตของชาวมอญ ที่มีทั้งเด็กวิ่งเล่น ผู้คนนั่งจับกลุ่มสนทนากัน และ คนแก่ตระเตรียมของเพื่อไปทำบุญที่วัดกัน
-----------------------------------------------------------------------------
เดินตามถนนมาได้สักพักนึงก็พบกับ "องค์พระพุทธชินราช" องค์จำลอง บริเวณสามแยกซึ่งเป็นสัญลักษณ์บอกว่าใกล้ถึงเจดีย์พุทธคยาแล้ว โดยหากเลี้ยวไปทางซ้ายก่อนก็จะไป "เจดีย์พุทธคยา" หรือ ไปทางขวาก็จะไปยัง "วัดวังวิเวห์การาม" ครับ
ว่าแล้วก่อนเดินทางผ่านต่อไป ก็ขอกราบไหว้ขอพรสักหน่อย... อิอิ
-----------------------------------------------------------------------------
จากนั้นผมเลือกที่จะไปที่เจดีย์ก่อน เลยเลี้ยวซ้ายเพื่อมุ่งหน้าไปยังเจดีย์พุทธคยาต่อไปตามแผนที่ได้วางไว้ ซึ่งเดินมาได้สักพักก็เห็นองค์เจดีย์อยู่ไกลๆแล้ว...
จะสังเกตุเห็นว่าอากาศเริ่มไม่ดีละ ฟ้าครึ้มมาเชียว..
-----------------------------------------------------------------------------
ฟ้าครึ้มๆมีแววฝนจะตกค่อนข้างแน่นอน กับ มุมบังคับที่ใครไปก็ต้องถ่ายมุมนี้
######################################
"ประวัติความเป็นมาขององค์เจดีย์"
หลวงพ่ออุตมะ เป็นผู้คิดริเริ่มสร้างตั้งแต่ปี 2521 โดยจำลองมาจาก เจดีย์พุทธคยาประเทศอินเดีย ได้งบประมาณจากผู้มีจิตศรัทธาร่วมกันบริจาคเป็นเงินสด ทองคำและวัสดุ ใช้แรงงานชาวมอญชายหญิงในหมู่บ้านประมาณ 400 คน ปรับพื้นที่สำหรับก่อสร้างและเผาอิฐมอญขนาด กว้าง 4 นิ้ว ยาว 8 นิ้ว หนา 3 นิ้จำนวน 260,000 ก้อน
เริ่มสร้างในปี 2525 องค์เจดีย์เป็นเจดีย์คอนกรีตเสริมเหล็ก ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างยาวด้านละ 42 เมตร สูง 59 เมตร มีเสาเหล็ก 4 ทิศ จำนวน 16 ต้น ในปี 2532 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามบรมราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุส่วนที่เป็นกระดูกนิ้วหัวแม่มือขวา 2 องค์ ขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร มีสีขาวใสอมเหลืองเป็นเงาบรรจุในผอบ 3 ชั้น ซึ่งหลวงพ่ออัญเชิญมากจากประเทศศรีลังกาและฉัตรทองคำหนัก 400 บาท ขึ้นไปประดิษฐานบนยอดเจดีย์
-----------------------------------------------------------------------------
จากนั้นก็ได้เดินเข้าไปชมภายในบริเวณองค์เจดีย์
โดยภายในบริเวณองค์เจดีย์ฯ นั้นมีรูปปั้นประจำวันเกิดอยู่รอบ 8 ทิศ ไม่แน่ใจว่าเป็นเทพหรือเป็นองค์พระตามแบบฉบับชาวมอญหรือเปล่า
จากนั้นก็เดินขึ้นบริเวณระเบียงรอบองค์เจดีย์ วนไปวนมากับฝนพรำๆที่กำลังตกลงมา เงยหน้ามองฟ้าแล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามีมุมบังคับอีกมุนนึง อิอิ
-----------------------------------------------------------------------------
ในบริเวณด้านหน้าขององค์เจดีย์ จะมีร้านขายของที่ระลึกเป็นแนวยาวอยู่ มีสินค้าต่างๆมากมายจำพวก กำไล สร้อย งานไม้ ฯลฯ ก็เลยจัดแจงซื้อของฝากเล็กๆน้อยๆ ไว้ก่อนจะได้ไม่เสียเที่ยวต้องย้อนกลับมา
หลังนั้นก็เดินทางย้อนออกทางเดิมแล้วตรงไปเรื่อยๆสักพักนึงก็จะถึงจุดหมายอีกจุดหมายนึงคือ "วัดวังวิเวห์การาม" ผมมองหาป้ายวัดแต่หายังไงก็หาไม่เจอ เลยเดินเข้าไปในบริเวณวัดเลย
ทันทีที่ถึงก็มุ่งหน้าไปยังองค์จำลองหลวงพ่ออุตตมะ ที่ตั้งอยู่กลางลานวัดเลย สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน แล้วก็ทำการกราบไหว้ท่านไปตามหน้าที่ของคนที่มาอาศัยเมืองเขาอยู่อย่างปลอดภัย
จากนั้นก็เดินเล่นรอบๆเพื่อเก็บบรรยากาศให้ทั่วถึงต่อไป
-----------------------------------------------------------------------------
ภายหลังเดินเล่นเก็บบรรยากาศรอบๆวัดไปแล้ว ก็ถามไถ่คนในบริเวณนั้นเพื่อเข้าไปไหว้พระประทานประจำวัดนี้อยู่ตรงไหน
เมื่อทราบสถานที่แล้วก็จัดแจงเดินกันต่อไปจนเจอองค์พระประทานแล้วครับ
งดงามมากครับ...
(ลืมจำชื่อมาว่าองค์พระนี้ชื่ออะไร...)
-----------------------------------------------------------------------------
ภายหลังการท่องเที่ยวอันทรหดเพราะเดินเที่ยวเตร็ดเตร่ไปมาจนถึงเวลาเกือบเที่ยงแล้ว ผมก็ตัดสินใจเดินกลับไปที่พักอีกครั้ง หาข้าวกิน
ระหว่างทางกลับก็มีแดดออกบ้างสลับฝนพรำๆ ให้เสียวไส้เล่น...
-----------------------------------------------------------------------------
หลังการเดินกลับตนกข้ามสะพานไม้กลับมาแล้ว ห้นไปทางขวามือจะมีสะพานอีกสะพานนึงเลยแวะเข้าไปสักหน่อยเพื่อได้มุมสวยๆมา
แน่นอนเลย มุมสวยๆของสะพานมอญครับ ไม่เสียแรงที่แวะมา
-----------------------------------------------------------------------------
มาถึงตรงนี้ งานเข้าแล้วครับ ถ่านกล้องหมดลงไปอย่างไม่รู้ตัว เพราะถ่ายไปประมาณ 200 กว่ารูปได้ ถ่านสำรองก็ไม่มี เหอๆ จึงต้องขออภัยพี่น้องทุกท่านที่ไม่มีรูปตอนไปที่ด่านมาให้ดู
ขอฝากเป็นการเดินทางไปที่ด่านไว้ละกันครับ
การเดินทางไปที่ด่านฯ จะต้องไปต่อรถสองแถวเขียวตรงจุดที่เราลงรถทัวร์นั่นแหละครับ สนนราคาเข้าด่าน 20 บาท...
หลังจากไปเตร็ดเตร่ที่ด่านอยู่สักพักเพื่อเดินดูของต่างๆ พบว่าราคาของค่อนข้างถูกกว่ากรุงเทพ แต่ของจำพวกกระเป๋า รองเท้ามีไม่มาก เหมือนด่านโรงเกลือ หรือด่านอื่นๆ
ได้เวลาประมาณ 4 โมงเย็นแล้ว กลัวจะตกรถก็เลยรีบกลับไปที่ท่ารถสองแถว นั่งเจ้าสองแถวเขียวกลับเข้าตัว อ.สังขละบุรีต่อไป...
-----------------------------------------------------------------------------
สุดท้ายนี้ ต้องขออภัยอีกครั้ง ที่รูปได้หมดลงไปอย่างที่บอกแล้ว หาซื้อถ่านไม่ได้ด้วย เศร้า T T
ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามดูกันมานะครับ...
อ่อ รูปนี้ สุดท้ายละ ไฮไลท์ที่ 3 จากระเบียงร้านอาหารของสามประสบรีสอร์ท
"องค์โบสถ์เก่าของวัดวังวิเวห์การาม" ครับ ถือว่าเป็นรูปบังคับของคนมาเที่ยวอีกรูปนึง
-----------------------------------------------------------------------------
เมื่อเวลาสายๆของการเดินทางวันที่ 3 ก็เดินทางกลับด้วยรถเที่ยวเวลา 10:30 น. ( ราคา 259 บาท ) กลับกรุงเทพโดยปลอดภัย
** เที่ยวรถขากลับครับ ( Updated ล่าสุด ) ** 7:30 รถ ป.2 ราคา 244 บาท 9:00 รถ ป.1 ราคา 311 บาท 10:30 รถ ป.2 ราคา 244 บาท 12:30 รถ ป.1 ราคา 311 บาท 14:30 รถ ป.1 ราคา 311 บาท
( ขากลับตื่นเต้นมากๆ คนขับไม่เกรงใจผู้โดยสารในการเข้าโค้งแต่ละโค้งเลย เสียวตกเหวมากๆ อิอิ )
-----------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ
Create Date : 17 กันยายน 2551 | | |
Last Update : 9 กรกฎาคม 2555 21:00:49 น. |
Counter : 3515 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|