~ จัดกระเป๋ากันเถอะ ตื่นแต่เช้าดีกว่า แหละออกไปเที่ยวให้ทั่วฟ้าเมืองไทย จะปีนภูเขาลงทะเลเราก็ไป จะใกล้จะไกล เที่ยวเมืองไทยกันดีกว่า... ~

ผู้ชายที่ปลายตะวัน
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ผู้ชายที่ปลายตะวัน's blog to your web]
Links
 

 

~ หนีเมืองไปเที่ยวสังขละบุรี ฝนมาข้าไม่กลัว ~




การเดินทางเริ่มขึ้นที่ หมอชิต ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทาง ซึ่งผมเองโดยสารรถทัวร์ของ บขส. รอบ 6 โมงเช้า ด้วยรถ ป.2 กับค่าโดยสารแสนคุ้มที่ 259 บาท
ซึ่งจริงๆแล้วรอบรถออกจาก กทม มี 4 รอบคือ 5.00 6.00 8.00 รอบสุดท้ายจำไม่ได้และไม่ได้จดมา ซึ่งเป็นรถ ป.1 และ ป.2 สลับกันที่ราคา 333 บาท และ 259 บาท

สถานการณ์สภาพอากาศกรุงเทพ ณ วันที่เดินทางยังคงสดใสหวังในใจนิดๆว่า ไปแล้วอย่าให้ฝนมันตกอะไรมากมายเลย เอาหอมปากหอมคอก็พอ
เวลาผ่านไปถึง 6.15 น. รถยังไม่ออก แต่เราก็ไม่ซีเรียสอะไร เช้าอยู่ไม่รีบ แล้วก็ถือโอกาสหลับซะเลย เพราะวันศุกร์ได้ลุยงานเต็มที่แถมกลับมาดูบอลอีกตะหาก


ตื่นขึ้นมาอีกทีเมื่อเวลาประมาณ 11 โมง รถก็เกือบถึงที่ อ.ทองผาภูมิ แล้ว ไวจัง อดชมวิวเลย...


รถแวะจอดที่ทองผาภูมิเพื่อพักรถยืดเส้นสายกัน 5 นาที ผมก็ถือโอกาสไปกินข้าว ซึ่งขอเซนเซอร์เนื่องจากมีเวลาแค่ 5 นาที ภาพจึงขัดต่อศีลธรรมอันเหมาะสมแก่สังคม



-----------------------------------------------------------------------------


และแล้วก็มาถึง อ.สังขละบุรี จุดหมายปลายของทางใจ จุดพลังให้ฉันมีแรงก้าวไป ฝันนั้นไกลแค่ไหน จะไขว่คว้ามา... เอาตอน 12.30 น. ได้
รวมระยะเวลาเดินทางประมาณ 6.30 ชม. กับระยะทาง 380 กว่ากิโลเมตร และ ฝนไม่ตกแล้ว

แน่นอนเมื่อลงจากรถแล้วมีบรรดาพี่ๆมอไซด์รับจ้างมาจ่อรอที่ประตู เหมือนรู้คิวว่ารถจะมากี่โมง แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเพราะกะว่าจะเดินเข้าไปเพราะแผนที่ที่ได้มาบอกผมว่าห่างออกไปนิดเดียว
แต่ปรากฎว่า งานเข้าแล้วครับ แผนที่ที่ได้มามันไม่ใช่เลย ตำแหน่งเพี้ยนไปหมด ที่พักตูอยู่ไหน... !!

เลยต้องจำใจเดินไปหาพี่มอไซด์วิน พร้อมกับทำใจว่า มอไซด์ ตจว. โขกคน กทม แน่ๆ เหมือนคน ตจว เข้ามาให้คน กทม โขก แต่กลับผิดคาดมากๆครับ เพราะว่า !!

สนนราคาเที่ยวละ 10 บาทเท่านั้น !! ...



-----------------------------------------------------------------------------


จากจุดลงรถประมาณ 3 นาที พี่มอไซด์ก็พาผมมาส่งที่ที่พักแล้วนั่นคือ "สามประสบ รีสอร์ท"

โดยคำว่า "สามประสบ" มีที่มาจาก การที่แม่น้ำสามสายมาบรรจบกัน ณ อ.สังขละบุรีนี้ คือ แม่น้ำซองกาเลียง รันดี บิคลี่ รวมกันจนไปต้นน้ำของแม่น้ำเควนั้นแหละครับ



-----------------------------------------------------------------------------


จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่เค้าเตอร์เพื่อทำการตรวจภายใน ( Check In )
โดยผมจองห้องโปรโมชั่นไว้ คือ ห้อง 900 บาท ลดเหลือ 700 บาท ซึ่งต้องจำใจจองไว้เพราะห้อง 600 บาทยอดนิยมนั้นเต็มหมดแล้ว


ภายหลังเปิดประตูห้องเข้าไปแล้วก็พบกับสิ่งที่ผมคาดไม่ถึงนั้นคือ

ห้องเป็นแบบ Moutian View สามารถมองเห็นวิวสวยๆทางด้านทิศตะวันตกของเมืองได้จากระเบียงห้อง !!

โหยยยย แบบนี้ 900 ยังยอมจ่ายเลย เพราะสวยคุ้มค่าจริงๆ แต่บอกน้องที่พามาดูห้องว่า 700 แหละดีแล้ว ให้พี่เก็บตังไว้กินหนมนะ อิอิ



-----------------------------------------------------------------------------


สภาพห้องโดยรวมถือว่าดีมาก

ทีวีเป็นเคเบิ้ลเนื่องจากเป็นเมืองในหุบเขาขนาดนี้สัญญาณโทรทัศน์ต้องหายากมากๆ

ห้องน้ำสภาพสวยงาม มีเครื่องทำน้ำอุ่น กับ น้ำแรงๆสะใจคนที่ชอบให้น้ำกระแทกตามเนื้อตัวแรงๆ ออกแนวซาดิสอย่างบอกไม่ถูก 555

เตียงไม่นุ่มและไม่แข็งจนเกินไป แต่ไฮไลท์คืออยู่ริมระเบียง รับอากาศสดชื่นได้เต็มที่ โดยจะนอนอ่านหนังสือไปรับลมไปก็ได้
อย่างตัวผมก็พกโน๊ตบุ๊คู่ใจเข้าไปด้วยเผื่อแก้เซงหากติดฝนไม่ได้ออกไปไหน

เสียดายถ้ามีเตียงผ้าใบ ตั้งอยู่ริมระเบียงด้วยก็คงจะดีมากๆเลยหละ...



-----------------------------------------------------------------------------


สำรวจห้องเสร็จแล้วผมก็ลองออกมาดูที่ระเบียงหน่อยว่าวิวจะสวยขนาดไหนกัน ซึ่งวิวนี้ไม่ใช่วิวที่สวยที่สุดของที่รีสอร์ทนี้ แต่ก็ถือว่าสวยอยู่ดีแหละ

โดยข้างหน้าที่เห็นนั่นคือสะพานซองกาเลียง เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นยอดนิยมของผู้ที่มาท่องเที่ยวที่นี้ เพราะ หากถ่ายรูปจากจุดนั้นแล้วเห็นทั้งทะเลสาบ สะพานไม้ ทิวเขา ซึ่งได้ภาพที่สวยมากๆ



-----------------------------------------------------------------------------


หิวแล้ว ไปหาอะไรกินดีกว่า อาหารที่นี่ส่วนใหญ่เป็นอาหารทะเลจำพวกปลา และ กุ้ง เนื่องจากอาชีพประมงคืออาชีพหลักของคนที่นี่
อาหารก็มีหลากหลายแบบครับ ทั้งอาหารตามสั่ง (กินแล้วเหนื่อย) , อาหารประเภทยำ ต้ม ทอด ผัด เหมือนๆกับร้านอาหารทั่วๆไป...

และผมก็สั่งอาหารสิ้นคิดไปหนึ่งจานนั่นคือ "ข้าวหมูกระเทียมไข่เจียว" ^ ^


จากนั้นก็เดินหามุม หาวิว สวยๆนั่งรออาหารมาส่ง โดนได้มุมดังในรูป จะเห็นว่าแดดออกจ้าเลยหละ มีความหวังแล้วหละ...



-----------------------------------------------------------------------------


เนื่องด้วยเริ่มรอนานละเพราะมีคนมาสั่งอาหารรอกินก่อนเราพอสมควรเลยพา "สหรัถ" ไปเก็บวิวซะหน่อย

จากระเบียงร้านอาหารของรีสอร์ท ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของ อ.สังขละบุรี เลย และ มันก็สวยจริงๆ
โดยจากจุดนี้มีสิ่งที่เราเห็นได้และน่าสนใจมากๆอยู่ 3 อย่างคือ...

รูปนี้จะเห็น ยอด "เจดีย์พุทธคยา" ที่เป็นสีเหลืองๆอย่างชัดเจน โดยตัวผมตั้งใจว่าจะไปในวันพรุ่งนี้



-----------------------------------------------------------------------------


อันนี้ "สะพานมอญ" เป็นสะพานไม้ที่สร้างด้วยไม้ตลอดทั้งสะพาน รวมระยะทางประมาณ 900 เมตร ซึ่งถือได้ว่าเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย

และถ้าผมจำไม่ผิดหลวงพ่ออุตมะ เป็นผู้ดำเนินสร้างสะพานมอญนี่ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเส้นทางสัญจรหลักของชุมชนคนไทยและชุมชนชาวมอญให้ไปมาหาสู่กันได้สะดวกมากขึ้น...



-----------------------------------------------------------------------------


นอกจากนั้นจากจุดนี้ยังสามารถชมวิถีชีวิตของชาวสังขละบุรีได้ จากจุดชมวิวจะได้ยินเสียงเครื่องเรือเป็นระยะ นั่นคือ เรือหาปลาบ้าง เรือจ้างบ้าง

(งงหละสิทำไมไม่วิวที่สามหายไป... ไว้ปิดท้ายนะ)



-----------------------------------------------------------------------------


ภายหลังกินข้าวเสร็จแล้ว ผมก็รีบลงไปที่สะพานมอญใกล้ๆกับที่พักนี่แหละครับ เพื่อลงไปเก็บภาพซะหน่อยแดดกำลังออก

พอลงไปได้สักพักฟ้าครึ้มเร็วมาก ไม่ถึง 5 นาทีฝนก็ตกลงมาซะละ ผมก็เลยได้มาแค่สองสามรูป ยังไม่ทันได้หามุมสวยๆเลย



-----------------------------------------------------------------------------


หลังจากมาถึงห้องพักผมก็สลบลงกับที่นอนเนื่องด้วยความเพลียก่อนเดินทางมา แล้วผมเปิดประตูระเบียงไว้โล่งโจ้งเลยหละ แบบว่าอากาศดีจนเคลิ้มหลับไป...


จนเวลาประมาณ 6 โมงเย็นก็ตื่นขึ้นมา พร้อมกับวิวยามเย็นจากหน้าต่างบานเดิม ซึ่งดูสวยงามไปอีกแบบ อิอิ



-----------------------------------------------------------------------------


หลังจากดู บางรักซอย [ (7-4) x 5 ] - 6 จบแล้ว ผมก็จัดแจงอาบน้ำ ล้างหน้า ล้างตา ลงไปหาอะไรกินอีกรอบ โดยไม่กลัวอ้วนซะอย่างนั้น

รอบนี้มาสั่งก็อาหารสิ้นคิดอีกครั้ง "ข้าวผัดหมู" เหอๆ


แล้วก็ตามระเบียบ มาทีไรคนเยอะทุกที เลยลุกไปถ่ายรูปเล่นสักหน่อย...



และหลังจากกินเสร็จ ก็กลับห้องไปทำนู่นทำนี่ แล้วก็รอดูบอลจนดึกจนดื่น
จนดึกมาแล้วก็นอนเก็บแรงไว้ลุยเที่ยวดีกว่า...



-----------------------------------------------------------------------------


รุ่งขึ้นมาตั้งปลุกไว้ตอน ตี 5 ครึ่ง เพื่อตื่นมาเก็บบรรยากาศยามเช้า และมารอดูหมอกว่ามันจะลงไหม...


พอออกมาจากห้องฟ้าก็เริ่มสว่างนิดๆละ ผมก็จัดแจงรีบเดินลงไปที่สะพานมอญ และ ระหว่างทางก็เจอวิวสวยๆเข้าเลยสอยมาสักหน่อย...



-----------------------------------------------------------------------------


เดินลงไปได้สักพักหนึ่งก็พบว่าเช้านี้ไม่น่าจะเจอหมอกแล้วเพราะรอบๆตัวเราไม่มีหมอกเลย ขนาดไกลๆบนเขายังไม่มีเลย T T

เลยถ่ายบรรยากาศเก็บไว้ โดยแพข้างล่างที่เห้นเป็นแพที่พักของอีกเจ้านึงชื่อ "แพลุงเณร" ราคาเท่าไหร่ไม่รู้....



-----------------------------------------------------------------------------


จากนั้นก็เดินไปถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆ ชมบรรยากาศไปเรื่อยๆ ตามแนวสะพาน พบว่าไม่มีใครเลย มีแต่เราเพียงผู้เดียวเสมือนเป็นสะพานของเรา 555



-----------------------------------------------------------------------------


เวลาผ่านไปนานพอสมควร ฝนก็ตกพรำๆ ฟ้าปิดอย่างชัดเจน พระอาทิตย์คงไม่มาหาผมแล้วก็เลย ตัดสินใจกลับห้องดีกว่า ไปอาบน้ำแต่งตัว

จากนั้นเวลาประมาณ 7 โมง ผมก็กลับไปจัดแจงเตรียมกล้องเตรียมของออกเดินทางไปยัง "เจดีย์พุทธคยา" และ "วัดวังวิเวห์การาม" ซึ่งอยู่อีกฝั่งของเมือง


ด้วยการเดินเท้าข้ามสะพานไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ไปยังอีกฝั่ง

ภาพที่พบเห็นเมื่อมาถึงสะพานคือคนในตอนเช้าๆนี่เวลาประมาณ 7 โมงนิดๆ ผู้คนยังไม่เยอะเท่าไหร่ ไม่ค่อยต่างกับตอนลงมาตอนตี 5 กว่านั้น มีผมลงไปคนเดียวเอง สงสัยผมจะแปลกอยู่คนเดียวที่ชอบตื่นเช้าๆมาเก็บบรรยากาศ



-----------------------------------------------------------------------------


ในตอนเช้าๆของเมืองสังขละบุรีนั้น นอกจากนักท่องเที่ยวลงมาถ่ายรูปกับสะพานมอญแล้ว อีกมุมหนึ่งของเมืองก็คือ ชาวบ้านเริ่มออกทำงาน ออกหาปลาเก็บอวนเก็บแหกันแล้ว

ดูแล้วก็ได้อารมณ์ต่างออกไปอีกแบบ...



-----------------------------------------------------------------------------


หลังจากแวะหามุมถ่ายรูปเดินเล่นไปเล่นมาที่สะพานสักพักแล้ว ผมก็เดินข้ามสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ไปอีกฝั่งคือ "หมู่บ้านแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง" หรือ "หมู่บ้านชาวมอญ" นั่นเอง

สิ่งที่พบเห็นได้ไม่ต่างจากเมืองไหนก็คือจะพบกับวิถีชาวบ้าน บางบรรยากาศก็ต่างออกไปจากฝั่งหมู่บ้านชาวไทย
แต่ทว่าวัฒนธรรมต่างๆของชาวมอญก็ไม่ต่างจากคนไทยเท่าไหร่ โดยมีบรรดาชาวมอญออกมาใส่บาตรกัน ซึ่งพระเณรที่นี่มากันครบชุดเลย ทั้งพระ เณร เด็กวัด และ หมาวัด



-----------------------------------------------------------------------------


หลังจากข้ามสะพานมาแล้วเดินตรงๆไปอีกนิดหน่อย ก็จะถึงแหล่งอาหารยามเช้า นั่นคือ "โจ๊ก" นั่นเอง

ซึ่งมีอยู่บริเวณนั้นประมาณ 3 ร้านได้มั้ง ของผมร้านไหนก็ได้ ก็เลยเลือกร้านที่ไม่มีคนนั่งซะเลย จะได้กินเร็วๆ อิอิ



-----------------------------------------------------------------------------


ตัวผมเองสั่งมากินชามนึงเพื่อลองลิ้มชิมรสสักหน่อย ก่อนที่จะไปแวะหาของกินที่ตลาดชาวมอญที่อยู่ระหว่างเส้นทางการเดินทางครั้งนี้

ผลปรากฎว่า อร่อยดีแฮะ.... ไว้พรุ่งนี้จะข้ามมากินอีก...



-----------------------------------------------------------------------------


หลังจากอิ่มแล้ว ก็ออกเดินทางต่อไป
โดยเดินเท้าไปตามถนนอุตมานุสรณ์(ถนนที่ต่อกับสะพานไม้) ไปเรื่อยๆจนเจอสามแยกแล้วก็เลี้ยวซ้าย

เดินไปได้สักพักนึงก็จะพบกับ "ตลาดชาวมอญ" ตัวผมเองก็เลยแวบเข้าไปหาของกินสักหน่อย


แต่ผลปรากฎว่า....
ไม่มีอาหารขายเลย มีแต่ของสด แย่ละงานนี้กินโจ๊กมาชามเดียวเองด้วย เลยต้องจำใจเดินทางต่อไป แล้วเก็บท้องไว้กินตอนขากลับแทน...



-----------------------------------------------------------------------------


จากนั้นก็เลยออกเดินทางต่อไปตามถนนเส้นเดิม มีเป็นเนินเล็กๆสลับไปมาให้ได้ออกแรงกันบ้าง

ระหว่างทางก็ได้เจอรูปแบบการใช้ชีวิตของชาวมอญ ที่มีทั้งเด็กวิ่งเล่น ผู้คนนั่งจับกลุ่มสนทนากัน และ คนแก่ตระเตรียมของเพื่อไปทำบุญที่วัดกัน




-----------------------------------------------------------------------------


เดินตามถนนมาได้สักพักนึงก็พบกับ "องค์พระพุทธชินราช" องค์จำลอง บริเวณสามแยกซึ่งเป็นสัญลักษณ์บอกว่าใกล้ถึงเจดีย์พุทธคยาแล้ว
โดยหากเลี้ยวไปทางซ้ายก่อนก็จะไป "เจดีย์พุทธคยา" หรือ ไปทางขวาก็จะไปยัง "วัดวังวิเวห์การาม" ครับ

ว่าแล้วก่อนเดินทางผ่านต่อไป ก็ขอกราบไหว้ขอพรสักหน่อย... อิอิ



-----------------------------------------------------------------------------


จากนั้นผมเลือกที่จะไปที่เจดีย์ก่อน เลยเลี้ยวซ้ายเพื่อมุ่งหน้าไปยังเจดีย์พุทธคยาต่อไปตามแผนที่ได้วางไว้
ซึ่งเดินมาได้สักพักก็เห็นองค์เจดีย์อยู่ไกลๆแล้ว...

จะสังเกตุเห็นว่าอากาศเริ่มไม่ดีละ ฟ้าครึ้มมาเชียว..



-----------------------------------------------------------------------------


ฟ้าครึ้มๆมีแววฝนจะตกค่อนข้างแน่นอน กับ มุมบังคับที่ใครไปก็ต้องถ่ายมุมนี้

######################################

"ประวัติความเป็นมาขององค์เจดีย์"

หลวงพ่ออุตมะ เป็นผู้คิดริเริ่มสร้างตั้งแต่ปี 2521 โดยจำลองมาจาก เจดีย์พุทธคยาประเทศอินเดีย ได้งบประมาณจากผู้มีจิตศรัทธาร่วมกันบริจาคเป็นเงินสด ทองคำและวัสดุ
ใช้แรงงานชาวมอญชายหญิงในหมู่บ้านประมาณ 400 คน ปรับพื้นที่สำหรับก่อสร้างและเผาอิฐมอญขนาด กว้าง 4 นิ้ว ยาว 8 นิ้ว หนา 3 นิ้จำนวน 260,000 ก้อน

เริ่มสร้างในปี 2525 องค์เจดีย์เป็นเจดีย์คอนกรีตเสริมเหล็ก ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างยาวด้านละ 42 เมตร สูง 59 เมตร มีเสาเหล็ก 4 ทิศ จำนวน 16 ต้น
ในปี 2532 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามบรมราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุส่วนที่เป็นกระดูกนิ้วหัวแม่มือขวา 2 องค์ ขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร มีสีขาวใสอมเหลืองเป็นเงาบรรจุในผอบ 3 ชั้น
ซึ่งหลวงพ่ออัญเชิญมากจากประเทศศรีลังกาและฉัตรทองคำหนัก 400 บาท ขึ้นไปประดิษฐานบนยอดเจดีย์



-----------------------------------------------------------------------------


จากนั้นก็ได้เดินเข้าไปชมภายในบริเวณองค์เจดีย์

โดยภายในบริเวณองค์เจดีย์ฯ นั้นมีรูปปั้นประจำวันเกิดอยู่รอบ 8 ทิศ ไม่แน่ใจว่าเป็นเทพหรือเป็นองค์พระตามแบบฉบับชาวมอญหรือเปล่า

จากนั้นก็เดินขึ้นบริเวณระเบียงรอบองค์เจดีย์ วนไปวนมากับฝนพรำๆที่กำลังตกลงมา
เงยหน้ามองฟ้าแล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามีมุมบังคับอีกมุนนึง อิอิ



-----------------------------------------------------------------------------


ในบริเวณด้านหน้าขององค์เจดีย์ จะมีร้านขายของที่ระลึกเป็นแนวยาวอยู่ มีสินค้าต่างๆมากมายจำพวก กำไล สร้อย งานไม้ ฯลฯ ก็เลยจัดแจงซื้อของฝากเล็กๆน้อยๆ ไว้ก่อนจะได้ไม่เสียเที่ยวต้องย้อนกลับมา



หลังนั้นก็เดินทางย้อนออกทางเดิมแล้วตรงไปเรื่อยๆสักพักนึงก็จะถึงจุดหมายอีกจุดหมายนึงคือ "วัดวังวิเวห์การาม"
ผมมองหาป้ายวัดแต่หายังไงก็หาไม่เจอ เลยเดินเข้าไปในบริเวณวัดเลย

ทันทีที่ถึงก็มุ่งหน้าไปยังองค์จำลองหลวงพ่ออุตตมะ ที่ตั้งอยู่กลางลานวัดเลย สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
แล้วก็ทำการกราบไหว้ท่านไปตามหน้าที่ของคนที่มาอาศัยเมืองเขาอยู่อย่างปลอดภัย

จากนั้นก็เดินเล่นรอบๆเพื่อเก็บบรรยากาศให้ทั่วถึงต่อไป











-----------------------------------------------------------------------------


ภายหลังเดินเล่นเก็บบรรยากาศรอบๆวัดไปแล้ว ก็ถามไถ่คนในบริเวณนั้นเพื่อเข้าไปไหว้พระประทานประจำวัดนี้อยู่ตรงไหน

เมื่อทราบสถานที่แล้วก็จัดแจงเดินกันต่อไปจนเจอองค์พระประทานแล้วครับ

งดงามมากครับ...

(ลืมจำชื่อมาว่าองค์พระนี้ชื่ออะไร...)



-----------------------------------------------------------------------------


ภายหลังการท่องเที่ยวอันทรหดเพราะเดินเที่ยวเตร็ดเตร่ไปมาจนถึงเวลาเกือบเที่ยงแล้ว
ผมก็ตัดสินใจเดินกลับไปที่พักอีกครั้ง หาข้าวกิน

ระหว่างทางกลับก็มีแดดออกบ้างสลับฝนพรำๆ ให้เสียวไส้เล่น...




-----------------------------------------------------------------------------


หลังการเดินกลับตนกข้ามสะพานไม้กลับมาแล้ว ห้นไปทางขวามือจะมีสะพานอีกสะพานนึงเลยแวะเข้าไปสักหน่อยเพื่อได้มุมสวยๆมา

แน่นอนเลย มุมสวยๆของสะพานมอญครับ ไม่เสียแรงที่แวะมา



-----------------------------------------------------------------------------


มาถึงตรงนี้ งานเข้าแล้วครับ ถ่านกล้องหมดลงไปอย่างไม่รู้ตัว เพราะถ่ายไปประมาณ 200 กว่ารูปได้ ถ่านสำรองก็ไม่มี เหอๆ
จึงต้องขออภัยพี่น้องทุกท่านที่ไม่มีรูปตอนไปที่ด่านมาให้ดู


ขอฝากเป็นการเดินทางไปที่ด่านไว้ละกันครับ


การเดินทางไปที่ด่านฯ จะต้องไปต่อรถสองแถวเขียวตรงจุดที่เราลงรถทัวร์นั่นแหละครับ สนนราคาเข้าด่าน 20 บาท...




หลังจากไปเตร็ดเตร่ที่ด่านอยู่สักพักเพื่อเดินดูของต่างๆ พบว่าราคาของค่อนข้างถูกกว่ากรุงเทพ แต่ของจำพวกกระเป๋า รองเท้ามีไม่มาก เหมือนด่านโรงเกลือ หรือด่านอื่นๆ


ได้เวลาประมาณ 4 โมงเย็นแล้ว กลัวจะตกรถก็เลยรีบกลับไปที่ท่ารถสองแถว นั่งเจ้าสองแถวเขียวกลับเข้าตัว อ.สังขละบุรีต่อไป...

-----------------------------------------------------------------------------


สุดท้ายนี้ ต้องขออภัยอีกครั้ง ที่รูปได้หมดลงไปอย่างที่บอกแล้ว หาซื้อถ่านไม่ได้ด้วย เศร้า T T


ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามดูกันมานะครับ...



อ่อ รูปนี้ สุดท้ายละ ไฮไลท์ที่ 3 จากระเบียงร้านอาหารของสามประสบรีสอร์ท

"องค์โบสถ์เก่าของวัดวังวิเวห์การาม" ครับ ถือว่าเป็นรูปบังคับของคนมาเที่ยวอีกรูปนึง





-----------------------------------------------------------------------------



เมื่อเวลาสายๆของการเดินทางวันที่ 3 ก็เดินทางกลับด้วยรถเที่ยวเวลา 10:30 น. ( ราคา 259 บาท ) กลับกรุงเทพโดยปลอดภัย

** เที่ยวรถขากลับครับ ( Updated ล่าสุด ) **
7:30 รถ ป.2 ราคา 244 บาท
9:00 รถ ป.1 ราคา 311 บาท
10:30 รถ ป.2 ราคา 244 บาท
12:30 รถ ป.1 ราคา 311 บาท
14:30 รถ ป.1 ราคา 311 บาท

( ขากลับตื่นเต้นมากๆ คนขับไม่เกรงใจผู้โดยสารในการเข้าโค้งแต่ละโค้งเลย เสียวตกเหวมากๆ อิอิ )

-----------------------------------------------------------------------------


ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ







 

Create Date : 17 กันยายน 2551    
Last Update : 9 กรกฎาคม 2555 21:00:49 น.
Counter : 3515 Pageviews.  

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.