When all the world is a hopeless jumble,
And the raindrops tumble all around,
Heaven opens a magic lane.
When all the clouds darken up the skyway
There's a rainbow highway to be found
Leading from your window pane
To a place behind the sun
Just a step beyond the rain
Somewhere over the rainbow,
Way up high
There's a land that I heard of once,
In a lullaby.
Somewhere over the rainbow,
Skies are blue.
And the dreams that you dare to dream
Really do come true.
Someday I'll wish upon a star
And wake up where the clouds are far behind me...
Where troubles melt like lemon drops,
Way above the chimney tops,
That's where you'll find me...
Somewhere...
Over the rainbow
Bluebirds fly,
Birds fly over the rainbow
Why then oh why can't i?
If all those little bluebirds fly
Beyond the rainbow...
Why .. oh .. why .. can't i?
เหตุผลประการแรกก็น่าจะเป็นเนื่องจากทำนองที่ไพเราะ เสนาะหู เมโลดี้ที่เวลาฟังดูแล้วเหมือนกับจะไม่มีกาลเวลาสมกับชื่อเพลง "ปลายสายรุ้ง" (ไม่ใช่ของ Paradox นะ) จูดี้การ์แลนด์นางเอกของเรื่องนั้นก็อยู่ในวัยขบเผาะ เด็ก ๆ อยู่ดูใส ๆ ทำให้ยิ่งดูเหมาะกับความไร้เดียงสากึ่ง ๆ โง่นิด ๆ (อันนี้ตีความเอาแต่ใจ โดยดูจากว่าน้องโดเอาใจแต่หมาโตโต้ ไม่หัดรู้จักเข้าใจตัวละครตัวอื่น แต่ก็แอบดีใจที่ตอนสุดท้ายรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราได้ซะที!) ตามบทที่คุณ Baum ได้เขียนเอาไว้
เหตุผลประการที่สองน่ะเหรอ เนื่องจากเป็นเพลงที่สามารถตีความได้หลากหลายแล้วก็เป็นเพลงที่ร้องได้ไม่ง่ายเลย ดูจากเมโลดี้ที่ไม่ได้คอมเพล็กซ์ ฮู้ ฮู ฮู้ ฮู อย่าง I will always love you แต่ความยากของการร้องเพลงนี้คือการมีศิลปะในการตีความ เพื่อถ่ายทอดเพลงนี้ออกมาได้อย่างเหมาะสมกับตัวศิลปินแต่ละคน สังเกตได้เลยว่า ไม่ว่าเพลงนี้จะออกมาจากการขับร้องของศิลปินคนไหน ก็สามารถเปลี่ยนบริบทได้อย่างคล้องจองทุกคราไป
ลองฟังเวอร์ชั่นของ Eva Cassidy เปรียบเทียบดูกับ Judy Garland แล้วจะเข้าใจความแตกต่างอย่างมาก เนื่องจากทั้งคู่ตีความคำว่า "rainbow" แตกต่างกัน Eva อาจจะมองคำว่า "rainbow" และ "blue birds" ต่างกัน ตามความคิดของผมแล้วคิดว่า Eva Cassidy มองไปในทางศาสนาหรือความตายมากกว่า ในขณะที่ Judy มองไปในทางความฝันหรือความทะเยอทะยานที่เธออยากไขว่คว้ามาให้ได้
แต่อย่างไรก็ดี บางครั้ง Judy Garland ก็เคยร้องเพลงนี้ในลักษณะที่หดหู่อยู่เหมือนกัน ตอนที่เธอชีวิตบัดซบหนัก ๆ
เอ่อ...แต่ชักจะนอกเรื่องไปเยอะแล้ว จริง ๆ แล้วเวอร์ชั่นของ Judy Garland ถูกวิพากษ์วิจารณ์และตีความไว้แล้วจากกูรูเพลงรุ่นเก่า ๆ ไว้เยอะแล้ว ผมขอไม่พูดละกัน เพราะถือได้ว่าเพลงเวอร์ชั่นจูดี้เป็นเวอร์ชั่นที่คล้าย ๆ กับเป็นหิ้งที่ไว้บูชาเรียบร้อยแล้ว
วันนี้เสนอเวอร์ชั่นของ Barbra Streisand ครับ เป็นเวอร์ชั่นที่บอกได้เลยว่า mediocre ชะมัด
ต้องขอบอกก่อนว่าตัวผมเป็นแฟนตัวยงของ Streisand มาแต่ไหนแต่ไร แล้วก็คิดว่าเพลงนี้ที่เธอร้องก็อยู่ในระดับที่ "OK" ไม่ได้เลวร้ายอะไร (ในใจคิดว่าจริง ๆ เธอน่าจะร้องเพลงนี้ได้ดีกว่านี้อีกมากมาย แต่ไม่รู้เพราะเหตุผลอะไรมันทำให้เพลงนี้มันดูครึ่ง ๆ กลาง ๆ พิกล) เธอร้องเพลงเพราะครับ ไม่เถียง แต่มันเหมือนขาดความ "เจ๋ง" ที่เธอเคยมีให้กับเพลงอื่น ๆ ที่เคยร้อง
สิ่งที่ดีของเวอร์ชั่นนี้ที่เวอร์ชั่นอื่นไม่ค่อยมี ก็คือ ช่วง Introduction "When all the world..." ที่ศิลปินคนอื่นมักจะชอบตัดออกไป อาจจะด้วยเหตุผลที่ว่าอาจจะดูน่าเบื่อหรืออย่างไรก็เหอะ Barbra ยังคงเก็บเนื้อเพลงส่วนนี้เอาไว้ เพื่อสร้างตัวละคร ไม่สิ ให้ผู้ฟังได้รู้จักถึง Beginning ของจิตใจ Dorothy ก่อนที่จะพูดถึงสายรุ้งในท่อนถัดไป อันนี้ขอยกนิ้วให้คุณป้าที่ยังคงไว้ลายในเรื่องของการใส่ใจในตัวละครก่อน ไม่ใช่ว่า "ร้อง" ออกมาแบบไร้สติเหมือนศิลปินไก่กาคนอื่น ๆ การให้ความสำคัญกับเนื้อร้องในช่วงนี้ของคุณป้าทำให้รู้เลยว่า ป้าร้องเพลงนี้ในฐานะ "นักแสดง" แล้วต้องการให้ผู้ฟังเข้าใจถึงกระบวนการของเรื่องราวที่ต้องประกอบด้วย "ตอนต้นเรื่อง" "ไคลแม็กซ์" และ "ตอนจบ" ได้อย่างสมบูรณ์แบบจริง ณ จุดนี้เลยประทับใจในเวอร์ชั่นนี้และอยากให้ทุก ๆ คนได้ฟังกันครับ
ป.ล. คำว่า "blue birds" นี้เคยถามเพื่อนชาวอเมริกันแล้วเค้าบอกว่า เป็นความหมายในเชิงอุปมา ซึ่งสามารถตีความกันได้หลากหลาย บ้างบอกว่าเป็นนกในจินตนาการที่พบได้เฉพาะในโลกยูโทเปีย (ตีความไปโน่น) หรืออาจจะตีความว่าเป็น "อิสระภาพภายในใจที่เกิดจากความเก็บกดหรือความเศร้า (blues) เบื้องลึกในจิตใจ" ก็อย่าคิดมากครับ ภาษาอังกฤษดิ้นได้ตลอดเวลา