|
นักกฎหมายจับฉ่าย..
ขอเริ่มต้นโดยการเล่าเรื่องตัวเองก่อน..
เมื่อสามปีก่อน ช่วงที่ผมยังทำงานเป็นเลขาผู้ใหญ่ในบ้านเมืองคนหนึ่ง เป็นที่รู้กันดีว่า แม้ท่านจะดูเป็นผู้ใหญ่ใจดี แต่เวลาทำงานโดยเฉพาะงานกฎหมาย ท่านจะเฮี้ยบและมีมาตรฐานที่สูงมาก วันนึงผมไปหาท่านที่บ้านตามปกติ ท่านเอ่ยปากชมขึ้นมาว่า ท่านดีใจที่ได้ผมมาเป็นเลขา และคุณสมบัติดีที่สุดในตัวผมคือความ Versatile (ท่านใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษคำนี้ ซึ่งแปลได้กลายๆ ว่าเป็นคนรู้รอบด้านและปรับตัวได้ดี) วันนั้นผมยิ้มดีใจหน้าบานไปทั้งวัน ทำงานมาตั้งนาน เพิ่งได้รับคำชมก็คราวนี้.. แต่ตกดึกคืนนั้น ผมกลับมาคิดย้อนว่า.. เอ จริงๆ ท่านกำลังแอบด่าผมอยู่หรือเปล่า ว่าผมไม่รู้ไม่เชี่ยวชาญอะไรจริงสักเรื่อง.. ข้อกฎหมายก็ไม่ท่อง ฎีกาก็อ่านมาไม่เยอะ ไปอ่านแต่อะไรที่มันไม่เกี่ยวเช่นพวก Management หรือ Marketing (ช่วงนั้นเพิ่งไปอบรม IOD - สถาบันกรรมการบริษัทไทย มา ก็เลยไปบ้าอ่านหนังสือทางธุรกิจ)
นี่คือที่มาของแนวความคิดที่ว่าผมเป็นนักกฎหมายจับฉ่าย ซึ่งก็ถูก เพราะยิ่งเรียนผมก็ยิ่งจับฉ่ายขึ้นเรื่อยๆ (ปกติคนเรียนโทเรียนเอก เค้าจะยิ่งเรียนยิ่งลึึก แต่ของผมนี่กลายเป็นยิ่งเรียนยิ่งกว้าง..น่าเวียนหัวสิ้นดี)
ย้อนไปตั้งแต่เล็กๆ.. พ่อผมเป็นทนาย เก่งด้าน Litigation, Property, และมรดก เวลาพ่อกลับมากินข้าว พ่อก็จะเล่าให้ฟังว่าวันนี้พ่อไปว่าความมาเป็นยังไง ชนะเพราะอะไร หรือมีใครตายแล้วลูกหลานทะเลากัน เอาปืนมายิงกันยังไง พ่อเป็น SuperHero!! ของผมเสมอ ฟังพ่อเล่าแล้วผมก็อยากเป็นทนายว่าความอย่างพ่อ อยากใส่ชุดครุยไปซักค้านแบบในหนังบ้าง.. เท่ดี ก็เลยเลือกเรียนกฎหมาย (สมใจเค้าหละ..!!) พอเริ่มเรียน ก็พอดีเค้ามาจับงานทาง Corporate & Banking มากขึ้น เวลาคุยกันในโต๊ะอาหาร เราก็จะคุยกันเรื่องกฎหมายและธุรกิจเป็นส่วนมาก ด้วยอิทธิพลของพ่อและจากความชอบส่วนตัวเองด้วย ผมก็เลยเลือกเรียนเน้นกฎหมายธุรกิจ และไปฝึกงานที่ Baker ตอนปีสาม แต่ก็อย่างที่รู้กัน...ความรู้กฎหมายที่เรียนตอนปริญญาตรี กับไอ้ที่ฝึกงานแค่สองเดือน มันเอาไปหากินไม่ได้อยู่แล้ว รู้แต่ทฤษฎีจิ๊บๆ ของจริงต้องไปเรียนกันใหม่หมดตอนทำงาน...
พอเรียนจบ ผมก็ขอไปทำงานที่สำนักงานพ่อ.. ก็อยากเห็นพ่อทำงานนี่ แต่ก็โดนไล่ให้ไปทำที่อื่นตามคาด ด้วยเหตุผลว่า ไว้จะกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้ ไปเอาประสบการณ์ทีี่อื่นก่อน ผมก็เลยเดินไปสมัคร Law Firm ฝรั่งๆ Topๆ สามสี่แห่ง.. ตั้งเป้าฝากอนาคตตัวเองไว้กับงาน Law Firm (กูจะเป็น Partner!! กูจะรวย..!!)
ช่วงที่กำลังสัมภาษณ์อยู่ ก็บังเอิญได้ไปเข้าพบผู้ใหญ่ในบ้านเมืองท่านนึง พอท่านทราบว่าผมกำลังหางานอยู่ ท่านก็ชวนไปทำงานด้วย ไปเป็นเลขาท่าน วินาทีแรกที่ได้ยินท่านถามว่าสนใจจะมาทำงานกับท่านไหม.. อาทิตย์หน้ามาเริ่มงานได้เลย โห แบบว่าขนลุก คนระดับนั้นชวนเราไปทำงาน.. จะปฏิเสธยังไงได้ ก็เลยจับพลัดจับผลูไปทำงานกับท่าน จากเดิมที่คิดไว้ว่าจะทำ Law Firm พลิกไปทำราชการเป็นเลขา + สห. ให้ผู้ใหญ่สะนี่ จากที่เรียน Corporate + Banking มา ต้องไปทำทาง Public Policy + Corruption แทน ซึ่งไอ้เราก็ไม่เคยเรียนมาเลย เอาหละสิ ก็มาอ่านหนังสือเอง มาดูเคสเอง จนพอทำงานได้.. สรุปว่าตอนช่วงแรกนี่ มีความรู้แนว Corporate Lawyer ครึ่งนึง Public Lawyer ครึ่งนึง.. ช่วงหลังได้งานแนวใหม่มาทำอีก คือเขียนหนังสือทาง Legal Education กับไปช่วยงานบริหารอีกหน่อยนึง.. ไอ้เราก็เลยไปเอาหนังสือทางการบริหารมาอ่าน รู้กว้างขึ้นอีกนิดนึง สรุปว่าทำงานสองปี ได้ความรู้มาอย่างละนิดละหน่อย...
ทำงานครบได้สองปี ก็ลาท่านออกมาต่อโท แผนเดิมจะไปอเมริกา แต่สุดท้ายก็มาอังกฤษแทนเพราะในสาขา Corporate Law นี่ LSE ดีที่สุดแล้ว หุๆ จะได้เรียน Corporate Finance + Corporate Governance กับ Prof Paul L. Davies ปรมาจารย์คนเขียน Corporate Law ฺBible ของอังกฤษ.. (เหอๆ กูจะเรียน Corporate จะกลับไปเป็น Partner..!! ยังไม่ยอมแพ้เฟ้ย..) แต่เรียนไปเรียนมาดันผ่าไปชอบวิชา Regulation มากกว่า Corporate.. (หลายใจจริงกู...)
ระหว่างนั้นก็ปรึกษาพ่อ พ่อบอกว่าอยากให้ทำปริญญาเอกต่อ แล้วกลับมารับราชการ.. เออ ไอ้เราก็เด็กดีเชื่อพ่ออยู่แล้ว ยังไงก็วงการเดียวกัน เค้าทำงานมาก่อนเราสี่สิบปี น่าจะรู้ดีกว่าเรา เชื่อไว้ก่อน ถ้าต่อไปเงินไม่พอใช้ จะไปแบมือขอตังค์ด้วย... สรุปว่า เรียนเอกต่อ ทำราชการก็ได้ฟะ..! อ้าวแล้วจะทำเอกทางไหนดี.. เอ่อเราปิ๊ง Regulation นี่หน่า ทำเอกทางนี้เหมาะกับการรับราชการด้วย ขืนทำ Corporate ต่อ แล้วไปรับราชการคงตลกดีพิลึก
สาขา Regulation นี่ (เป็นกฎหมายประหลาดไม่ค่อยมีใครสอน) มี Prof อยู่สามคนทั่วอังกฤษ คนที่ดังสุดอยู่ Manchester เอ่อ.. ก็ได้ฟะ ไป Manchester ก็ดี ออกต่างจังหวัด เงินเท่าเดิม อยู่สบายกว่าลอนดอนเยอะ สดท้ายก็เลยตกลงปลงใจมาทำเอก Regulation เน้นทาง Enforcement กับ Prof Anthony Ogus, CBE (อีกขั้นเดียวก็เป็นท่าน Sir แล้ว.. เท่หวะ..) พอเริ่มทำ แกก็ให้ผมเลือกว่าจะเอาทฤษฎีอะไรมาเป็นหลักในการวิจัย จะเอา Economics หรือ Psychology หรืออะไร ไอ้เราก็บ้า แกท้ามาเราก็สู้ ตูเอาหมด จนลงตัวได้ที่ Economic Analysis of Law + Organizational Beharviour.. ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน ต้องมาเรียนใหม่หมดเลย.. กลายเป๋นว่ายิ่งเรียนยิ่งกว้าง..ความจับฉ่ายทวีคูณ..!
เขียนเล่ามาทั้งหมดด้วยความกลุ้มใจ... ยิ่งเรียนยิ่งจับฉ่าย รู้กว้างแต่ไม่ลึก จบไปจะทำอะไรได้หว่า.. ปวดหมอง กลับเมืองไทยไปคงไม่แคล้วโดนด่าว่าเรียนนอกมาสะเปล่า ไม่เห็นรู้อะไรจริงสักอย่าง (ตูเรียนกว้าง ไม่ได้ลึกเหมือนเอ็งนี่.. ง่า)
"Lawเก้อจับฉ่าย"
Create Date : 08 พฤศจิกายน 2549 | | |
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2549 11:14:36 น. |
Counter : 2710 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ที่มาที่ไปของ Blog นี้
มีเพื่อนๆ หลายคน (โดยเฉพาะพี่สารวัตรพล) ขอร้องแกมบังคับให้ผมทำ Blog สะที (ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม..จะมาถล่มกันอะป่าว...) ซึ่งผมก็หลบเลี่ยงตลอดมา ด้วยเหตุผลคือ:
1. ด้วยความโง่ของตัวเอง ผมพิมพ์สัมผัสไม่เป็น จนบัดนี้ก็ยังใช้ระบบนิ้วจิ้มอยู่เลย เลยพิมพ์ได้ช้ามาก
2. มีคนรู้เยอะมากว่า Lawเก้อ ในพันทิพ นี่ตัวจริงคือใคร เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้คิดมากหรอกว่าจะต้องปกปิดอะไร ไม่ได้เป็นความลับคอขาดบาดตาย... แล้วไอ้เราก็ไม่เคยไปฆ่าไปข่มขืนใครด้วย...คงไม่มีใครอยากจะมาปืนมาเป่าหัว แต่เมื่อมีคนรู้กันเยอะว่าไอ้ Lawเก้อ ที่ตอบกระทู้อยู่นี่คือผม หลังๆ ผมก็รู้สึกไม่สะดวกใจเท่าไหร่ที่จะเขียนอะไรที่มัน controversial มาก.. ขืนเขียนไป ถ้าพ่อผมไม่สะดุ้ง อาจารย์ผมก้คงสะดุ้ง... ว่าใครมาแอบด่าว่าไม่สั่งไม่สอนลูกศิษย์... ดังนั้นการจะมาเขียนในบล็อกก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่..
ขอเล่านิดนึงว่า มีเหตุการณ์นึงที่ทำให้ผมช็อคมากๆ เรื่องที่มีคนรู้ว่าผมใช้ชื่อ Lawเก้อ ตอบกระทู้ในพันทิพ คือตอนที่ผมยังเรียนโทอยู่ลอนดอน.. วันนึงผมไป Addy แล้วก็ไปต่อ ThaiTaste ตามปกตื แล้วก็ไปเจอสาวสวย (มาก) ซึ่งเป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที แล้วสวรรค์ก็เป็นใจทำให้เราก็ได้ตุยกัน.... พอผมแนะนำตัวว่าเรียนอะไร อยู่ที่ไหน เท่านั้นแหละ.. สาวเจ้าก็ถามทันทีว่าผมใช่ Lawเก้อ ในพันทิพรึเปล่า.. เอ่อ.. กำลังกึ่มๆ อยู่ สร่างเมาเลย อะไรวะ ตูมาแดนซ์ มาจีบสาว ยังมีคนมาถามหา log in พันทิพอีก... ง่า อะไรมันจะขนาดนั้น.. อีกที มีช่วงนึงที่ผมโพสบ่อยหน่อย พอโพสไรปุ๊บ เด๊่ยวก็มีเพื่อนที่คณะ ส่ง msn มาคุยว่าที่ผมไปโพสเจ๋งดี หรือ ไม่ก็แย้งมาว่ามันผิด.. เอ่อ เอ็งก็ไปแย้งในกระทู้ดิ งงงงนะ เล่น msn มาบอกกันตรงๆ แล้วข้าก็ไม่เคยบอกเอ็งหนิหว่าว่าใช้ชื่อนี้ รู้กันได้ไงวะ น่ากลัวจริงๆ
3. ผมเคยไปอ่านบล็อคของคนอื่นที่ทำกันเจ๋งๆ แล้วก็รู้สึกว่า ถ้าตัวเองทำคงไม่มีอะไรจะเขียน คนเข้ามาดูคงสมเพชว่าไอ้นี่ไม่เจียม...
ด้วยเหตุผลสามข้อข้างต้น ผมก็เลยบ่ายเบี่ยงไม่ทำ Blog มาตลอด ส่วนที่อยู่ดีๆ วันนี้เกิดเปลี่ยนใจทำ Blog ขึ้นมา ก็ไม่มีอะไรมาก แบบว่าเมนส์มา..อารมณ์แปรปรวน..อิอิ ที่จริงก็คงเป็นโรคของเด็ก PhD ทั่วไปๆ ที่ตื่นขึ้นมาวันนึง รู้สึกว่าข้อมูลมัน Overload เต็มหัวไปหมด ต้องหาที่ระบาย และอยากหาคนมาแชร์ชีวิตที่มันซ้ำไปซ้ามาในกองหนังสือ... และเหตุผลกระแดะๆ อีกอย่างคือ..ผมเริ่มรู้สึกว่าการคิดและเขียนเป็นภาษาไทยของตัวเองชักเริ่มจะเพี้ยน จากที่เคยแอนตี้การพูดไทยคำอังกฤษคำมาตลอด ตอนนี้กลับมาติดเองสะแล้ว...แล้วจะเขียนอะไรก็ดูจะติดๆ ขัดๆ ไปหมด อย่างตอนนี้กำลังเขียนบทความภาษาไทยอันนึง อยู่ดีๆ ก็เขียนไม่ออกเลยสะงั้น สงสัยจะต้องเขียนภาษาไทยให้มากขึ้น..
ด้วยเหตุฉะนี้ Blog ห่วยๆ อันนี้ ก็เลยเกิดขึ้น เพื่อเป็นถังขยะทางความคิดของเจ้าของบล็อก..นั่นแหละ
Create Date : 07 พฤศจิกายน 2549 | | |
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2549 4:13:18 น. |
Counter : 695 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|