|
The Exorcism of Emily Rose : สยองยิ่งกว่าสยอง
คำเตือน : บทความนี้เป็นเพียงมุมมองจากความเชื่อและประสบการณ์ของผู้เขียน โปรดใช้วิจารณญาณ
วันนี้ได้อ่านกระทู้เกี่ยวกับ Emily Rose หนังในดวงใจที่กว่าหนมปังจะได้ดูก็หลุดเทรนไปเรียบร้อย กว่าจะได้เก็บแผ่นก็เพิ่งไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
ด้วยความเข้าใจผิดว่ามันคือหนัง "ผีธรรมดา" มีพระสู้ผี มีผู้บริสุทธิ์ มีปิศาจร้าย ปล่อยแสง ขับรถไล่ล่า ธรรมมะชนะอธรรม หรืออะไรก็ตามที่จะคิดออก ทำให้พลาดหนังเรื่องนี้ไปอย่างน่าเสียดาย... ในตอนแรก
ทีนี้ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่ามันเป็นหนังเกี่ยวกับการพิจารณาคดี ไล่ผี และศรัทธา
มันเกี่ยวกันได้ไงหว่า..
เลยไปสอยจากร้านเช่ามาดูในขั้นแรก
เล่าล่ะนะ
หนังเปิดเรื่องที่บ้านหลังหนึ่ง ที่แค่ดูภายนอกก็รู้ว่าไม่ชอบมาพากลอย่างยิ่ง หมอก ตัวบ้านสีโทนดำ ต้นไม้ไม่มีใบ และหน้าต่างที่มองไม่เห็นข้างใน
พอเข้าไปในบ้าน เราพบสมาชิกที่อาศัยอยู่ หญิง ชาย เด็กหญิง หน้าตาทุกคนเป็นทุกข์ ลังเล สับสน หวาดกลัว
มันคือบ้านตระกูลโรส กับการตายหมาดๆของลูกสาวคนโต เอมิลี่ โรส ด้วยสาเหตุการขาดสารอาหาร เนื่องจากอาการคุ้มคลั่งอาละวาด ที่ทางบ้านเชื่อว่าเกิดจากผีสิง
ทุกคนที่บ้านโรสศรัทธาในพระเจ้า และดูจะเคร่งครัดมาก จากกางเขนที่แขวนอยู่ในบ้าน
และในสีหน้าของพ่อแม่ เหมือนจะถามกับตัวเองตลอดเวลาว่าทำไม
ทำไมต้องเป็น Emily.
จากตรงนี้ไป หนมปังจะสปอยละนะ
ย้อนกลับไปเมื่อเอมิลี่เรียนจบไฮสคูลและจะใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยอย่างมีความหวัง เธอสดใส ดูขี้อายนิดๆเรียบๆแต่กระตือรือร้นแบบวัยรุ่น และดูจะคิดมากอยู่ไม่น้อยกับครอบครัว
อย่างไรก็ตาม เธอก็ไปอยู่ที่ดอม และที่นั่น ปิศาจร้าย(หรือโรคร้าย) เริ่มคุกคามเธอ
เธอถูกรบกวนและทำร้ายจากสิ่งนั้นจนเรียนหนังสือไม่ได้ จนต้องกลับมาอยู่ที่บ้าน
ที่นี่ พ่อแม่ และเธอร่วมกันเชิญหลวงพ่อมัวร์มาทำพิธีไล่ผี และปฏิเสธการรักษาแบบแพทย์จากโรคที่ถูกวินิจฉัยว่าลมชัก
แพทย์ไม่ได้รักษาเธอ มีแต่หลวงพ่อไล่ผี และสุดท้าย เธอก็ขาดสารอาหารตายและชุมชนร่วมกันฟ้องหลวงพ่อที่ยับยั้งการรักษาเธอตามแบบแผนแพทย์
จากตรงนั้นเป็นต้นมา ตัวหนังก็วางตัวเป็น(เกือบ)กลางมาตลอดจนจบเรื่อง แนวคิดทุกแนวในหนังเป็นไปได้ทั้งสิ้น ยากที่จะฟันธง
โรคลมชัก, ผีสิง, หรือสภาพจิตที่ผิดปกติจากการถูกกดดันในครอบครัวเคร่งศาสนา
ถ้าจะดูให้ภาพยนตร์เป็นภาพยนตร์ก็คงสนุกดีที่ได้ดูการหาเหตุผลหักล้างสองฝ่ายระหว่างวิทยาศาสตร์และความเชื่อ
แต่ถ้าจะฟังหนมปังต่อ ก็ขอบอกว่า หนมปังขอต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความจริง
โลกที่ไม่ได้มีแค่ของที่เรารู้จัก คนที่เรารูจัก โลกที่มีหลายวิ่งหลายอย่างที่วิทยาศาสตร์หาคำอธิบายไม่ได้ โลกที่ยังมีเผ่าพันธุ์ที่จองจะทำร้ายมนุษย์ดัง 'สิงห์คำรามอยู่รอบตัว'(ปฐมกาล)
ดังที่ทนายสาวที่แสดงโดย ลอร่า ลินนี่ได้กล่าวสรุปไว้ในตอนท้าย
เราถามตัวเอง มันเป็นไปได้หรือ?
คำถามที่สำคัญกว่านั้น ถ้ามันเป็นไปได้ล่ะ.... เรากำลังรับมือกับอะไร?
หลายๆคนชอบฉากไล่ผี ดูตื่นเต้นน่าหวาดกลัวดีนักแล หนมปังก็ชอบนะ แต่ที่สยดสยองกว่านั้นคือทั้งหกผีที่ถูกอ้างถึง
คิดว่าการผีเข้าแล้วเอาหัวโขกกำแพงทรมานแล้ว ยังไม่เท่าสิ่งที่ผีทำกับยูดาส มันทำให้ยูดาสตกเป็นจำเลยแห่งการปรักปรำตัวเอง การรู้สึกผิด ทุรนทุรายทุกข์ทรมานจากความผิดตัวเองจนผูกคอตาย
คิดว่าการผีเข้าแล้วกินวอลเปเปอร์ทรมานแล้ว ยังไม่ทรมานเท่าคาอินที่ถูกทำให้ร้อนรุ่มจากไฟอิจฉา ถูกทำให้ทรมานจากการดูถูกตนเองอย่างผิดๆ ทุกข์ทรมาน จนทำสิ่งที่ไม่อาจอภัยได้จากการฆ่าน้งชายแท้ๆของตัวเอง
หรือความทรมานของกษัตริย์เนโรที่ตกเป็นเครื่องมือของผีจากการถูกกักขังด้วยความเกลียดชัง หวาดกลัว วิปริต ด้วยความบิดเบี้ยวของเจตนา ทุกทรมานจากการป่วยทางจิตจนเผาบ้านตัวเอง และตาย
ยกมาแค่สาม ก็พอจะเห็นภาพได้ชัดเจนแล้วว่า "ถ้า" ผีในเอมิลี่มีจริง มันย่อมมีพิษสงมากกว่าทำหน้าหลอนบนกระจก ทำตัวเบี้ยวๆ ตะโกนเสียงดังๆ หรือทำร้ายร่างกายเท่านั้น
จากพฤติกรรมของผีตั้งแต่โบราณกาลพอสรุปได้ว่า พวกนี้ไม่สนหรอก แค่ร่างกายเนื้อหนัง พวกนี้จ้องเล่นงานจากภายใน กัดกินจิตวิญญาณ ความสุข กักขังมนุษย์ด้วยความเกลียด ความโลภ ความรู้สึกผิด และทำลายให้ทรมานช้าๆ จนเหี่ยวแห้งจากข้างใน และตายอย่างสยดสยองที่สุดมากกว่าหนังสยองขวัญเรื่องไหนจะทำได้
ทีนี้ลองมองดูตัวเองและรอบตัวดู แล้วบอกสิ ว่าคุณไม่เห็น "ผี" พวกนี้อยู่เลยสักตัว
ใช่ "สิงห์คำรามอยู่รอบตัว" คำเปรียบที่อยู่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้เกินไปเลยสักนิด
หนมปังฟังชื่อ "ผี" แต่ละตัวที่เอมิลี่พูดถึงอย่างสยดสยอง ไม่ใช่ที่เอมิลี่โดนผีสิงแล้วตะโกนเสียงแหบๆ แต่เพราะหนมปังเห็น "ผี" เหล่านั้นในโลกความจริง ไม่ใช่แค่ในหนัง
ยังไม่พูดถึงศัตรูตัวเอ้ของมนุษยชาติ ที่ถูกกล่าวถึงในชื่อสุดท้าย
"ลูซิเฟอร์"
ขาใหญ่ผู้นำความตาย(ทั้งเป็น)มาสู่มนุษย์หลายต่อหลายคนมาแล้วตั้งแต่ปฐมกาล หัวหน้า "ผี" จอมโหดพวกนั้น
และบอกได้เลยว่ายิ่งหมอนั่น ยิ่งทำได้ "เนียน" กว่าสมุนของมันอีกเยอะ
"อย่ากลัวคนที่ฆ่าเจ้าได้แค่ร่างกาย จงกลัวคนที่ฆ่าจิตวิญญานของเจ้า"
ปล. ขอโทษที่พาเบี่ยงเบนประเด็นนะคะ บล็อคหน้าจะวิจารณ์ดีๆละ
Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2551 | | |
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2551 17:31:20 น. |
Counter : 3414 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Shoot'em up : คิดมากไปไย ฆ่ากันให้ตายดีกว่า
หนมปังชอบชื่อภาษาไทยหนังเรื่องนี้มาก เพราะตรงทั้งตัวเรื่อง ชื่อเรื่อง ธีมเรื่อง
บ่ายแก่ๆวันหนึ่งหนมปังก็เลยตีตั๋วเข้าไปดูในโรงซะเลย ทิ้ง Resident Evil สายลับ และผีเลี้ยงลิงไว้เบื้องหลัง
ความคาดหวังของหนมปังกับหนังเรื่องนี้ก่อนเข้าโรงคือแอ็คชั่นเปลืองกระสุนกับมุขตลกห่ามๆให้ครื้นเครงกันหน่อย สาระอะไรพรรนั้นชั่วโมงนี้ไม่ต้องก็ได้
และหนังก็ตอบโจทย์ของหนมปังได้ดีทีเดียว
เล่าล่ะวุ้ย
ขอบอกสำหรับคนที่ไม่ได้ดู ฉากที่คุยกันธรรมดา ฉากที่ไม่มีพร็อพเป็นปืน ไม่ได้สาดกระสุนใส่กัน ทั้งเรื่องมีไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำมั้ง
นอกนั้นคือการยกขบวนมาตายของผู้ร้าย ทั้งยืนยิง นอนยิง วิ่งยิง โหนตัวลงมายิง ศพลิวล้อเกลื่อนเมืองทีเดียวเชียว
แต่ไม่ต้องไปหาสาระอะไรกะมัน ไม่มีเหตุ ไม่มีจิตวิทยา ไม่มีกาละเทศะ ทุกช่วงลมหายใจของพระเอกมันต้องยิง
คนนั่งดูในโรงก็จำเอาว่านี่พระเอกนะ มันกำลังช่วยเด็กทารกคนหนึ่ง ที่อยู่ตรงข้ามคือผู้ร้ายน้า ตำรวจอยู่ไหนไม่ต้องสนใจ คนบงการคือใคร อะไร ทำไม ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร รู้ย่างเดียวว่าเราจำหน้าพระเอกได้ จำหน้าหัวหน้าผู้ร้ายได้ และเรากำลังลุ้นให้ไอ่พระเอกมันชนะ
ง่ายมะ....
ง่ายๆงั้นแหละ ตายเป็นร้อยศพเลย...
หนมปังนั่งดูในโรง ด้วยอาการที่เรียกว่า ทำหัวให้กลวง ก็พบว่า เออแฮะ ก็มันดี
แต่คิดอีกแง่ ความไม่คิดมากของตัวหนังสะท้อนอะไรออกมามากมาย ความง่ายของพลอต ทำให้หนมปังอดคิดไม่ได้ว่า
คนเรามันฆ่ากันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ...
การข้ามผ่านจุดของความเป็นปุถุชนไปสู่ความเป็นฆาตกร มันง่ายงั้นเลยเรอะ...
มีอยู่ตอนหนึ่งที่พระเอกแนะนำปืนพกของตัวเองแล้วพูดถึงส่วนประกอบหนึ่งเรียกว่าเซฟตี้ แต่ก็ยกมือตัวเองขึ้นมากระดิกนิ้วชี้แล้วพูดต่อว่า
เซฟตี้จริงๆน่ะ อันนี้ต่างหาก
หนังสร้างคาแรคเตอร์พระเอกให้เป็นคนหน้าตายที่ขี้หงุดหงิด เขาไม่เคยติดเซฟตี้ไว้ที่ตัวเองเลย
หลายคนชื่นชอบคาแรคเตอร์แบบนี้ อยากทำอะไรก็ทำ อยากพูดอะไรก็พูด อยากยิงใครก็ยิง คุ้นๆมั้ย ว่าคาแรคเตอร์แบบนี้กำลังรบาดในกลุมคนบ้านเราบางกลุ่ม
ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก ชกเลยดีกว่า ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก ตบเลยดีกว่า ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก ฆ่าเลยดีกว่า
สมิธอาจไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีในการควบคุมตัวเอง แต่เป็นข้อคิดที่ดีในการติดเซฟตี้ไว้กับตัวเอง
เซฟตี้ที่เรียกว่า จิตสำนึก
ปล. ขอโทษวันนี้นอกเรื่องมากมาย แต่ถ้าดูเอาขำ เอามัน ไม่ต้องคิดอะไรก็ได้ แต่หนมปังติดนิสัยคิดมากจนทำหัวโล่งตลอดรอดฝั่งไม่ได้น่อ
Create Date : 02 ตุลาคม 2550 | | |
Last Update : 2 ตุลาคม 2550 11:31:11 น. |
Counter : 721 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Paris je t'aime : หนังรักนิยามลึก
หนมปังไม่ค่อยมีโอกาสดูหนังอินดี้ หนังสั้น หรือหนังที่ขายศิลปะ หนมปังเป็นบุคคลส่วนใหญ่ที่ชอบดูหนังตลาด หนังโปรโมท ดาราดัง ลงทุนเยอะ จำพวกแฟนตาซี แอ็คชั่น อะไรเทือกนั้น
แต่วันนั้นเป็นอะไรขึ้นมาก้ไม่รุ เดินผ่านร้านแผ่นหนังนอกกระแสแบบกุ๊ก กุ๊ก กู๋
หลายๆเรื่องที่รายรอบโชว์ปกเป็นรูปเนื้อหนังมังสาผู้หญิง ผู้ชาย ทั้งผู้หญิง ผู้ชายกะลังแอ็คท่าที่ดูแล้วก็รู้ถึงธีมหนังทันทีว่ามีฉากเลิฟๆสะบัดช่อ
แต่ท่ามกลางหนังเหล่านนั้น หนมปังสะดุดตากับปกดีวีดีรูปหัวใจสีแดงแป๊ดบนพื้นสีขาว พอหยิบขึ้นมาเพ่งดูดีๆเราก็เห็นหอไอเฟลแอบๆอยู่ กับชื่อหนังว่า ปารีสเฌอแตม (ปารีสฉันรักเธอ) ได้รับคำบอกเล่าจากคนขายว่าเป็นหนังสั้นเอามาต่อๆกัน หนมปังก็ว่าเฮ้ย จะดีเร้อ ไอ่เรามันคอตลาดบริโภคแบรนด์หน้าตาเราก็ไม่คอยศิลปะนิ จะดูหนังแบบนี้รู้เรื่องเหรอ(วะ)
ไม่รู้อะไรดลใจ ในทที่สุดก็ซื้อมา(แนบมากะ Emily Rose ที่ซื้อมาเชยชมสำมะเหร็ด)
เอาล่ะนะ จาเล่าแว้ว
หนมปังดูไปพร้อมๆกับอารมณ์ที่ขึ้นๆลงๆของตัวหนัง เดี๋ยวก็รู้สึกถึงความรักวูบวาบหวือหวา อีกเดี๋ยวก็รู้สึกถึงความรักไม่มั่นคง อีกเดี๋ยวก็เศร้า อีกเดี๋ยวก็ลุ้น อีกเดี๋ยวก็ตกใจ อีกเดี๋ยวก็ลึกล้ำ อีกเดี๋ยวก็หัวเราะ เดี๋ยวก็อึดอัด
หนมปังเห็นด้วยกับหลายๆคนที่บอกว่าหนังสั้นบางเรื่องมัน"ไม่ได้" จริงอยู่ แต่หนมปังเห็นว่าทุกเรื่องเป็นส่วนเติมเต็มของหนังในแง่มุมของนิยาม
ความรัก ไม่ใช่เรื่องสนุก สวย หรือ มีแบบแผนเสมอไป ความรักมีส่วนที่เราไม่ชอบ ส่วนที่เราเบื่อ และไม่เข้าใจ ไม่อยากเข้าใจด้วยเช่นกัน
หากเปรียบความรักเป็นเมืองที่สวยงามเมืองหนึ่ง ในเมืองนี้ก็เต็มไปด้วยความสวยงาม และระแวดระวังในเวลาเดียวกัน เต็มไปด้วยความโกลาหลและสงบในเวลาเดียวกัน เต็มไปด้วยการแสวงหาและการพบเจอในเวลาเดียวกัน จะมีเมืองไหนที่เหมาะกับนิยามนี้มากกว่าปารีส
หนมปังชอบช่วงเวลาที่หนังกำลังจะเปลี่ยนเรื่อง ช่วงนั้นจะมีภาพนครปารีสขึ้นมา ในช่วงเวลาต่างกัน สถานที่ต่างกัน แง่มุมต่างกัน
แม่บ้านรับจ้างที่ร้องเพลงกล่อมให้เด็กคนหนึ่ง แต่กำลังมองไปนอกหน้าต่างโหยหาลูกของตัวเอง อยากจะร้องเพลงกล่อมลูกตนเองแทน
ชายตาบอดผู้รักสงบกำลังปรับตัวและทำความเข้าใจกับแฟนสาวนักแสดงที่ดูไฮเปอร์และอารมณ์ขึ้นๆลงๆตลอดเวลาด้วยดวงตาทั้งคู่ของเขา
อีกด้านหนึ่งคนค้ายาเสพย์ติดกำลังหลงรักลูกค้าและเป็นห่วงเธอในสิ่งที่เธอจมปลักอยู่
พ่อหัวดื้อกำลังพยายามยอมจำนนลูกสาวเพื่อการคืนดี
แม่คนหนึ่งที่เสียลูกชายไปกำลังพยายามทำใจเพื่อที่จะมองสิ่งที่เหลืออยู่แทน
เด็กชายคนหนึ่งที่เติบโตในโลกของความรักของพ่อและแม่และมีพลังจินตนาการสูงล้ำกำลังเผชิญโลกภายนอกอย่างเข้มแข็ง
และอีกหลายๆแง่มุมความรักรอบตัวที่หนังจับมาเล่าอย่างออกรส ผ่านฝีมือผู้กำกับคมๆหลายคนที่ทำให้หนังสั้น ลึก และกินใจ และเท่ห์อย่างบอกไม่ถูก
และฉากสุดท้ายที่รวบยอดหนังสั้นทั้งหมด กลายเป็นเมืองๆหนึ่ง
แม้นิยามความรักที่หนังนำเสนอ จะไม่ถูกต้องทั้งหมด สิ่งที่ตัวละครทำ ไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่มันคือความจริงของคนธรรมดาที่จะทำ มีทั้งถูกและผิด หลบและสู้ เข้าใจและไม่เข้าใจ
ในแง่ของความเป็นหนัง อาจจะไม่ใช่หนังที่ตรึงหนมปังไว้กับเก้าอี้ หรือทำให้หนมปังร้องไห้ หรือในบางอารมณ์อาจไม่สามารถตรึงหนมปังให้ดูจนจบด้วยซ้ำ แต่ในแง่ของการถ่ายทอดนิยามของปารีส และความรักของผู้คนในปัจจุบัน หนังทำได้ดีมาก และเท่คอดๆ ขอบอก
พอดูจบหนมปังก็พูดกับตัวเองว่า อ่านะ นี่เป็นหนังดีอีกเรื่องหนึ่งที่หนมปังได้ดูในปีนีเลย
ปล. เสียดายนิโหน่ยที่ตรงพูดภาษาอังกฤษไม่มีซับ
Create Date : 13 กันยายน 2550 | | |
Last Update : 13 กันยายน 2550 16:20:47 น. |
Counter : 1254 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|