จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2559
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
14 สิงหาคม 2559
 
All Blogs
 

เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 78



ตอนที่ 78


          คชสารเผือกถูกตกแต่งประดับประดาอย่างงดงามสมเป็นช้างทรง บนกูบ หลังมีร่างเล็กแบบบางอย่างเด็กสาวแรกรุ่นนั่งอยู่เพียงผู้เดียว เจ้านาคราชหาได้ร่วมประทับบนคชสารด้วย แต่ทรงม้าอยู่หน้าขบวนเสด็จเคียงกันมากับเจ้าชายฉัตรวรุณ และติดตามด้วยกลุ่มราชทูตแห่งปาลปุระ ซึ่งได้เดินทางมาเจรจาสานสัมพันธไมตรีก่อนหน้านี้ เมื่อศรียศาเทวีเสด็จมาจึงได้ยกขบวนออกมารับเสด็จยังประตูเวียงชั้นสองพร้อมๆ กับภูวิษะเจ้า ส่วนที่รั้งอยู่ท้ายขบวนนั้นเป็นเกวียนบรรทุกสิ่งของบรรณาการและผู้ติดตามจากปาลปุระ


          ขบวนเสด็จของเทวีแห่งปานปุระนั้นเป็นขบวนใหญ่ เมื่อผ่านไปที่ใดก็มีผู้คนเฝ้ามองยิ่งประภาสผ่านอุทยานก็พบเจอนางกำนัลหลายตำหนักมาดักชมโฉม ต่างพากันนั่งเรียงรายเมื่อเสด็จผ่านก็ก้มลงหมอบกราบถวายความเคารพ เนื่องด้วยบริเวณนี้มีเส้นทางแยกไปหลายตำหนัก ศรียศาเทวีจึงได้อวดพระบารมีดังที่ปาลปุระตั้งใจเอาไว้ จึงพยายามทรงวรกายให้มั่นแล้วเชิดพระพักตร์ขึ้นก่อนจะแย้มสรวลให้บุคคลต่างๆ ที่ได้เสด็จผ่านหน้าไป


          “ตรงไปอีกไม่นานก็เลี้ยวเข้าประตูข้างจึงจะเข้าสู่พระราชวัง แต่หากไม่เลี้ยวแล้วตรงขึ้นไปทางนั้นบนยอดเขาโน้นมีนาคาลัยเป็นเทวสถานแห่งนาคาเทพ ที่ลานด้านหน้าก็มีศาลเทวภูมิซึ่งปกปักษ์เมือง วันนี้ไปเข้าเฝ้าเสียก่อนจากนั้นค่อยหาวันมาสักการะ” เจ้าชายฉัตรวรุณทรงชี้ไปยังทิวเขา ทั้งขบวนหยุดชะงักมองไปตามปลายนิ้วไปยังยอดเขาอันเป็นที่ตั้งของนาคาลัย


         “ก็ไปเสียวันนี้เลยเถิดพะยะค่ะ แม้ทางเส้นนี้อ้อมไปสักนิด...แต่นับว่าเป็นมงคลยิ่งที่ขบวนเสด็จต้องผ่านหน้าศาลเทวภูมิ พระเทวีจะได้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทันทีที่มาถึงจุมภะ เสร็จแล้วค่อยไปเข้าเฝ้าพระบาทเจ้า” ราชทูตแห่งปาลปุระเสนอความเห็นขึ้นมา


“ท่านว่ากระไรนะ?” ภูวิษะเจ้าหันพักตร์กลับมาถาม


         “กระหม่อมใคร่ทูลขอให้ท่านภูวิษะ นำเสด็จศรียศาเทวีไปถวายบำบวงแก่พญามหิทธราบดีด้วยเถิดพะยะค่ะ อีกไม่ไกลก็จะถึงนาคาลัยแห่งพญานาคราชแล้ว จึงควรไปฝากเนื้อฝากตัวให้ท่านช่วยปกป้องคุ้มครอง”


           ยามกะทันหันมิทราบว่าเหตุใดจู่ๆ เรื่องนี้จึงถูกเสนอขึ้น เจ้านาคราชเหลียวสดับพระพักตร์ไปสบเนตรเจ้าชายฉัตรวรุณซึ่งส่ายพระพักตร์ปฏิเสธมิได้เห็นชอบด้วย


          “เห็นทีจะไม่ได้ น้องหญิงศรียศาควรจะไปเข้าเฝ้าพระบาทเจ้าเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยหาฤกษ์ยามมาสักการะภายหลัง” แม้สุรเสียงจะมิได้ตัดรอนไมตรี หากสิ้นดำรัสทั้งขบวนดูจะนิ่งอึ้งไป


         “ท่านภูวิษะมิต้องเป็นห่วง ทางเราได้คะเนเส้นทางแล้ว มาทางนี้นับว่าเข้านาคาลัยนับว่าใกล้ที่สุด จึงไม่ควรผ่านเลยไปหาไม่แล้วจะกลายเป็นไม่เคารพต่อสิ่งศักดิ์ของจุมภะ”


          “เอาไว้คราวหน้า...ไปเข้าเฝ้าพระบาทเจ้าเสียก่อน!” ตรัสสำทับซ้ำ


         “ท่านภูวิษะ กล่าวเช่นนี้เห็นจะไม่ถูกต้อง...พระบาทเจ้าสิทธิเสณนั้นเป็นใหญ่ในแผ่นดิน พญามหิทธราบดีจอมนาคราช และพระเทวภูมิก็เป็นเทวาผู้อารักษ์ดินแดนจุมภะมาชั่วนานตาปีมิควรละเลย หาไม่แล้ว...”


         “มิได้ละเลย น้องหญิงศรียศาต้องมาทำการบวงสรวงพระภูมิเทวา และพญามหิทธราบดีที่ลานหน้าประตูทางขึ้นเขานาวาลัยอยู่แล้วเพียงแต่มิใช่วันนี้ การบำบวงนั้นเป็นเรื่องใหญ่มิใช่นึกจะทำก็ทำได้ ต้องจัดเตรียมสิ่งของหลายอย่าง”


        “นั่นสินะ น้องหญิงก็เพิ่งมาถึงไฉนจะเตรียมเครื่องบำบวงทันได้เล่า ครานี้ไม่พร้อมไว้รอฤกษ์เถิด” เจ้าราชบุตรเองก็ว่าวันนี้ไม่ใช่วันที่เหมาะสม


         “เรื่องนั้นทางเราได้เป็นธุระจัดหาเครื่องบำบวงเตรียมไว้แล้ว ขอท่านอย่าวิตกไป” ภูวิษะเจ้าสดับแล้วนิ่งงันไปภายใต้รอยยิ้มของราชทูตนำพาความไม่พอพระทัยมาสู่


          “จัดเตรียมไว้แล้ว?”


          “พะยะค่ะ”


           “นี่มิใช่เพิ่งคิดกันกะทันหันกระนั้นสินะ” สุรเสียงเริ่มขุ่นเคือง


           “เรื่องการบวงสรวงนี้อย่างไรก็ต้องทำ พวกกระหม่อมนั้นได้รับคำแนะนำจากผู้ใหญ่ในจุมภะว่ามิควรละเลยเรื่องนี้ จึงได้ตระเตรียมไว้แล้วพะยะค่ะ”


           “แต่ข้าว่าเข้าเฝ้าก่อนดีกว่ากระมัง จากนั้นค่อยย้อนกลับมาก็ยังไม่สาย” เจ้าชายฉัตรวรุณเองก็ไม่เห็นด้วยและนึกประหลาดพระทัย เรื่องการแวะสักการะยังศาลเทวภูมิมิได้อยู่ในหมายกำหนดการเลย


           “หากย้อนกลับมาเกรงจะเลยฤกษ์ยามที่ท่านโหราได้ให้ไว้น่ะสิ...”


           “หือ? มิทราบโหราท่านใดดูฤกษ์ไว้ให้” แววเนตรเจ้านาคราชวาวขึ้นด้วยความไม่พอพระทัย ดูท่านปาลปุระจะวางหมากไว้โดยไม่แจ้งในหมายกำหนดการ


           “ย่อมเป็นโหราของทางเรา ทั้งนี้ได้กราบทูลพระบาทเจ้าไว้อย่างไรเสียพระเทวีควรจะกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ครบทั่วทุกทิศา....” ราชทูตหยุดกล่าวไปชั่วขณะแล้วเพ่งมองไปนาคาลัยที่ตั้งอยู่บนเขา


           “ท่านราชทูต...ท่านควรจะทราบว่านาคาลัยแห่งพญามหิทธราบดีนั้น มิใช่ผู้ใดก็ขึ้นไปถวายสักการะได้”


           “แม้แต่ศรียศาเทวีกระนั้นรึพะยะค่ะ?”


           “แม้แต่ข้า หรือ แม้แต่เจ้าราชบุตร ผู้ใดก็มิได้หากมิได้รับรับสั่งจากพระบาทเจ้า”


           “แต่กระหม่อมทราบมาว่า มหิตาเทวีชายาของท่านขึ้นไปถวายบำบวงเป็นประจำ ศรียศาเทวีอีกไม่กี่เพลาก็จะเป็นชายาของท่านเช่นกัน” กล่าวจบก็ผายมือไปยังเทวีน้อยที่ประทับอยู่บนหลังคชสาร แก้วตาราเทวีเองก็ทรงตื่นตะลึงด้วยไม่รู้เล่ห์กลทางการเมือง


           “หึ!...เมื่อรู้เรื่องมหิตา ก็ควรจะรู้ว่านางเป็นผู้เดียวที่รับอนุญาตให้ขึ้นไปเมื่อใดก็ได้...เพราะนั่นเป็นพระประสงค์ที่เหนือกว่าพระบาทเจ้า” สุรเสียงเจ้านาคราชนั้นบ่งบอกชัดเจนว่าไม่พอพระทัย


           “ในแผ่นดินนี้ยังมีผู้ใดเหนือกว่าพระบาทเจ้าสิทธิเสณอีกรึ?” เสียงถามนั้นพิศวงนัก


           ราชบุตรแห่งจอมบาดาลมิได้ตอบเพียงแต่มีแย้มสรวลออกมาด้วยความเย้ยหยัน เจ้าชายฉัตรวรุณนั้นมีอากัปกริยาไม่ต่างกันที่มากไปกว่าคือมิอาจกลั้นเสียงสรวลได้


           “มีสิ...ก็นาคาเทพผู้ครอบครองนาคาลัยอย่างไรเล่า!”


            คณะทูตชะงักค้างเมื่อได้ยินคำตอบ สีหน้าพิกลนั้นชวนให้ขบขันยิ่งนัก เจ้าราชบุตรทอดพระเนตรเห็นเข้าก็ส่งเสียงสรวลดังยิ่งขึ้น ภูวิษะเจ้าสดับเสียงหัวเราะของเจ้าราชบุตรก็ค่อยคลายอาการขึ้งเครียดเมื่อครู่แล้วจึงตรัสเสริมต่อ


            “พญามหิทธราบดีโปรดปรานนาง มหิตาจึงเป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว” เมื่อตรัสแล้วก็หันไปสบพระเนตรแก้วตาราเทวี


           “ศรียศาเจ้าอย่าดื้อดึง นาคาลัยแห่งนี้ห้ามมิให้คนนอกราชวงศ์เข้าไป แม้เป็นเชื้อพระวงศ์ก็ยังต้องคัดกรองมิใช่ผู้ใดก็ได้ การที่มหิตาเข้าไปได้มิใช่หมายความว่าเจ้าจะเข้าสู่นาคาลัยได้เช่นนาง ทั้งนี้มิใช่เพราะนางเป็นธิดาของพระบาทเจ้า มิใช่เพราะนางเป็นเมียของเรา แต่เพราะพญามหิทธราบดีได้ประสิทธิพรแก่มหิตา สิทธิ์นั้นจึงยังผลแก่นางผู้เดียวมิใช่เจ้า !”


           ดวงพักตร์ตึงแววเนตรขึงขัง แก้วตาราเทวีทอดพระเนตรเห็นก็รู้ว่าว่าที่พระสวามีทรงกริ้ว อีกทั้งยังยกชายาองค์แรกเหนือผู้ใด เทวีน้อยอดพระทัยเสียไม่ได้


          “หม่อมฉัน…มิบังอาจเพคะ ที่ใดต้องห้ามหม่อมฉันก็ไม่ฝ่าฝืน”


         “น้องหญิงของจงเข้าใจนาคาลัยห้ามมิให้คนนอกขึ้นไป หากจะขึ้นไปต้องมีเหตุอันควรและต้องได้รับพระราชทานอนุญาตจากพระบาทเจ้าเท่านั้น”


           เมื่อเห็นสีพระพักตร์ของเทวีน้อยแล้ว เจ้าราชบุตรนึกสงสารนางยิ่งนัก ภูวิษะเจ้าแม้รูปงามแต่ทรงดุดันยิ่งยามกริ้ว มิใช่ชายอ่อนโยนจึงอดมิได้ที่จะเป็นผู้ปลอบโยนนางเสียเอง


          “น้องหญิงตามปกติแล้ว สตรีที่จะขึ้นไปยังนาคาลัยได้นั้น ต้องผ่านพิธีกรรมหลายอย่างในการเสี่ยงทาย มิอาจสุ่มสี่สุ่มห้าขึ้นไปได้ หากฝ่าฝืนนอกจากพระบาทเจ้าจะทรงกริ้วแล้ว พญามหิทธราบดีไม่ทรงโปรดอาจบันดาลให้เกิดความวิบัติฉิบหายมาสู่ผู้ฝ่าฝืนได้” ทรงหยุดทอดพระเนตรสีพระพักตร์ของผู้ฟังครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อ


           “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่นัก เจ้าเพิ่งมาอาจไม่รู้จงฟังพวกพี่เถิด”


           “เพคะ...” สุรเสียงตอบรับนั้นสั่นไหวประหนึ่งเด็กหญิงถูกผู้ใหญ่ตำหนิ แล้วยิ่งถูกว่าที่พระสวามีตรัสสำทับขึ้นมาอีกคำรบหนึ่งสีพระพักตร์ซีดเซียวนัก


           “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เจ้าควรเชื่อฟัง เมืองทุกเมืองมีขึด ของตนเอง ปาลปุระก็เช่นกันจริงไหม?” แววเนตรกร้าวกวาดไปทั่ว “นาคาลัยไม่เหมือนอาศรมศักดิ์สิทธิ์ใดที่พวกเจ้าเคยรู้จัก”


            “เพคะ...หม่อมฉันมิกล้าขึ้นไปดอกเพคะ”


            “ดีแล้ว เจ้าจำไว้ด้วยว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านเมืองของเจ้า เจ้าเพียงแต่เข้ามาอาศัยอย่าได้ดึงดันทำกระไรโดยพละการ” ท้ายประโยคทรงปรายเนตรมองไปยังคณะราชทูต


            “พวกท่านยังต้องการให้ศรียศาขึ้นไปถวายบำบวงบนนาคาลัยอีกหรือไม่?”


            “โอ้...ช่างน่าเสียดายนัก...แต่หากเป็นเช่นนั้นคงต้องงดเว้นนาคาลัย ดังนั้นขอเพียงแค่บำบวงอยู่หน้าลานเบื้องล่างก็พอพะยะค่ะ”


            “พวกท่านนี่ดื้อดึงนัก! หากยังเซ้าซี้อีกเห็นทีข้าจะต้องกราบทูลพระบาทเจ้าเสียแล้ว”


            นาคเจ้ายกพระบาทเข้ามาข่มคณะราชทูตด้วยดำริว่าจะได้สงบปากคำเสียที แต่เรื่องมิได้เป็นอย่างที่คิดราชทูตเหล่านั้นมิได้มีสีหน้าเกรงพระทัยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังแย้มยิ้มก่อนทูลตอบอีกด้วย


          “เรื่องนั้นยิ่งมิต้องกังวลไปท่านราชบุตรเขย พวกข้าพระบาทได้เข้ากราบบังคมทูลขอทำพิธีบำบวงแก่พญามหิทธราบดีไว้แล้ว พระบาทเจ้าทรงกรุณาเห็นชอบด้วย และยังชมเชยมาอีกว่าเป็นเรื่องถูกต้องที่จะกราบไหว้พญามหิทธราบดี รวมทั้งผีฟ้า ผีหลวงต่างๆ ในเวียงจุมภะอีกด้วย” หากราชทูตมิได้ทูลพระบาทเจ้าว่าจะจัดบำบวงในวันเวลาใด


           “พระบาทเจ้าประทานอนุญาตกระนั้นรึ?”


           “พะยะค่ะ หากไม่แน่พระทัยทรงกลับทูลถามก็ย่อมได้ พวกข้าพระองค์จะรอที่นี่จนท่านกลับมาค่อยเคลื่อนขบวน แต่อย่าให้เลยฤกษ์นะพะยะค่ะ อย่างไรต้องบวงสรวงก่อนตะวันตรงหัว” ภูวิษะเจ้านิ่งดำริในพระทัยว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากลนัก ในขณะที่เจ้าชายฉัตรวรุณตรัสตวาดออกมาด้วยความไม่พอพระทัย


           “แล้วไฉนท่านจึงไม่แจ้งพิธีการมาเนิ่นๆ เล่า”


           “ขอประทานอภัยด้วยพะยะค่ะ เจ้าราชบุตรเพิ่งเสด็จมาข้าพระองค์เพิ่งได้โอกาสกราบทูล”


            “ข้าน่ะไม่รู้ก็ไม่แปลก แต่ไฉนภูวิษะพลอยไม่รู้เรื่องไปด้วยเล่า?”


          “เรื่องนั้น...เอ้อ เป็นความผิดของกระหม่อมเองที่หลงลืม กระหม่อมมัวแต่ยุ่งกับการเตรียมเครื่องบำบวง อีกทั้ง...เห็นทางพระตำหนักช่วยจัดหาเครื่องหอมต่างๆ มาให้จึงคิดว่าน่าจะทรงทราบแล้ว....”


            ทรงประหลาดพระทัยนักราชทูตเมืองปาลดูจะเล่นลิ้นคล่องแคล่ว สีหน้าแววตาก็หาได้ยำเกรงไม่ เรื่องนี้ไม่แคล้วคงมีการเตรียมการเอาไว้ก่อน การบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองมิใช่แค่ต้องการสักการะและทำการฝากเนื้อฝากตัวดังที่บอกมา แต่พวกโหราจารย์คงคิดจะทำเคล็ดให้แก่ศรียศาเทวีเป็นแน่ เรื่องนี้สำคัญยิ่งสำหรับปาลปุระนัก จึงกล้ากล่าวอ้างว่าพระบาทเจ้าทรงประทานอนุญาต


          “เครื่องหอมเหล่านี้มาจากตำหนักไหน?”


          “ล้วนมาจากตำหนักของท่านภูวิษะ” คำตอบนั้นทำเอาพระขนงเข้มขมวดเข้าหากันทันที


          “น้องหญิงมหิตา...ใจดีถึงเพียงนั้นเทียวรึ?” เจ้าชายฉัตรวรุณตรัสรำพึงออกมาก่อนจะหันพระพักตร์มาทอดพระเนตรภูวิษะเจ้าผู้ยังอยู่ในอาการฉงนไม่ต่างกัน


           “พระชายาตรัสว่าจะมาร่วมการบวงสรวงครั้งนี้ด้วย จึงประทานเครื่องหอมตลอดจนดอกไม้งามสำหรับบำบวงมาให้ ช่างมีน้ำพระทัยนัก..”


            นาคเจ้าผู้เป็นพระสวามีตะลึงงันเกือบจะหลุดโอษฐ์ออกไปแล้วว่า ‘เป็นไปมิได้! เมียของข้านั้นหึงหวงนัก’ เรื่องนี้พิกลนัก แต่ยังมิทันได้ตรัสสิ่งใดออกมา ราชทูตเมืองปาลก็คลี่ยิ้มที่ทอดพระเนตรเห็นแล้วต้องอุทานว่าสามานย์ที่สุดออกมา


           “นั่นอย่างไรเล่า ขบวนเสลี่ยงของมหิตาเทวีชายาของท่านเสด็จมานั่นแล้ว!”


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


          ทุกสายตามองตามคำบอกของราชทูตไป ขบวนเสด็จของมหิตาเทวีกำลังตรงมาที่นี่จริงๆ เทวีโฉมงามประทับอยู่บนเสลี่ยง พาหาข้างหนึ่งพาดอยู่บนพนักเท้าแขน วรกายอรชรนั้นเอียงพิงตามพาหาที่ท้าวไว้ พระบาทสองข้างนั้นพับเพียบขึ้นมาบนพระแท่น พิศดูแล้วอยู่ในกิริยาที่สบายองค์นัก


           “มหิตา?!!!” เจ้านาคราชตรัสครางออกมาเบาๆ ราวกับไม่เชื่อสายพระเนตรก่อนจะเปลี่ยนเป็นขุ่นเคืองนักเมื่อขบวนเสลี่ยงเข้ามาใกล้


            “มหิตาเจ้ามาที่นี่ทำไม ?!”


            สุรเสียงนั้นตวาดออกไปโดยไม่ทันดำริว่าผู้ฟังจะรู้สึกอย่างไร ส่งผลให้เคียงฟ้าที่กำลังขึ้งเครียดที่ไม่สามารถควบคุมวรกายของมหิตาเทวีเอาไว้ได้ เมื่อแลเห็นภูวิษะเจ้าจึงพยายามตะโกนเรียกเตือนว่ามีเหตุบางอย่างเกินความสามารถของหล่อนจะควบคุมแล้ว ทว่าดวงจิตของหญิงสาวเหมือนถูกกักไว้ภายในแม้ร่ำร้องเพียงใด ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครได้ยินเสียงหล่อนเลย!


           ยิ่งขบวนเสลี่ยงเคลื่อนไปข้างหน้าเท่าใดเคียงฟ้ายิ่งวิตก ตรงกันข้ามกับมหิตาเทวีบัดนี้ดูนิ่งสงบยังคงวางท่าทางได้สง่างามน่าเกรงขามนัก ดวงพักตร์งามพริ้มทว่าไร้รอยแย้มสรวล เรียวโอษฐ์อิ่มสีชาดขึงเป็นเส้นตรง ดวงเนตรนั้นวาววามด้วยประกายไฟร้อนลุกโชนอยู่ภายใน


            ศรียศาเทวีบนหลังคชสารนิ่งอึ้งไปมิคาดว่าจะได้พบพักตร์พระชายาเอกเร็วถึงเพียงนี้ จึงรีบขยับวรกายลงจากหลังคชสารมาเบื้องล่าง เมื่อขบวนเสด็จหยุดลงแล้วจึงค่อยๆ ลดเสลี่ยงลงจากบ่าผู้แบกปทุมมารีบยื่นมือเข้าไปให้มหิตาเทวีกุมเพื่อก้าวลงได้อย่างสะดวก


          บัดนั้นคนทั้งมวลที่ยืนอยู่พากันถูกตรึงอยู่กับที่ด้วยความรู้สึกแตกต่างกัน ภูวิษะเจ้านั้นพระพักตร์แดงก่ำขึ้นมาด้วยความไม่พอพระทัยไฉนจึงนอกคำสั่ง การพาองค์มาดักขบวนของศรียศาเทวีนั้นดูไร้มารยาทยิ่งในสายพระเนตรเจ้านาคราช ในขณะที่แก้วตาราเทวีนั้นเมื่อลงจากหลังคชสารได้ ก็ตั้งพระทัยจะถวายความเคารพแต่มิได้ทำเช่นนั้นในทันที 


           เมื่อมหิตาเทวีเสด็จมาเบื้องหน้า สิ่งที่พระนางน้อยเห็นคือพระชายาเอกทรงเป็นหญิงที่งามพิลาศดังเดือนเต็มดวง มิมีดาราดวงใดเทียบรัศมีได้ อีกทั้งวรกายนั้นก็ทรงอวบอิ่มพระทรวงคู่นั้นงามดังบัวตูม บั้นพระเอวเล็กคอดพระโสณี ผาย เลอลักษณ์ไปตลอดวรกายทรงเป็นสตรีที่โตเต็มวัยแล้วต่างกับพระองค์ยิ่งนัก


          และเมื่อทอดพระเนตรไปที่ดวงพักตร์ทรงโฉมเจิดจรัสยิ่งกว่าสตรีใดในหล้า แต่กลับมีสีพระพักตร์บึ้งตึงเหมือนโกรธขึ้งมาแต่ปางบรรพ์ ในแววเนตรนั้นมีไฟร้อนโหมกระหน่ำพร้อมแผดเผาผู้คนอยู่


          “เจ้ารึศรียศาเทวี หญิงที่มาจากเมืองปาล” เท่านั้นเองแก้วตาราเทวีก็ทรงได้สติ รีบโน้มกายลงถวายความเคารพทันที


           “ถวายพระพรเพคะ เสด็จพี่มหิตา หม่อมฉันศรียศา มิคาดว่าจะทรงออกมาต้อนรับด้วยองค์เองเช่นนี้ น้องขอบพระทัยยิ่ง” แต่เมื่อไม่ได้ยินคำตอบรับอันใดกลับมา จึงค่อยเงยพระพักตร์ขึ้นเหลือบมอง


          “ใครมาต้อนรับเจ้า? ข้าอยากมาดูน้ำหน้าหญิงที่จะมาแย่งสวามีข้าต่างหาก!!”


อ่านต่อตอนหน้าค่ะ
+++++++++++++++++++++++++++++++










 

Create Date : 14 สิงหาคม 2559
2 comments
Last Update : 14 สิงหาคม 2559 12:00:04 น.
Counter : 14498 Pageviews.

 

ต่ออๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

 

โดย: สมาชิกหมายเลข 3457303 3 พฤศจิกายน 2559 4:22:58 น.  

 

ดีจ้า มาทักทายนะจ้ะ sinota ซิโนต้า Ulthera สลายไขมัน SculpSure เซลลูไลท์ ฝ้า กระ Derma Light เลเซอร์กำจัดขน กำจัดขนถาวร รูขุมขนกว้าง ทองคำ ไฮยาลูโรนิค Hyaluronic คีเลชั่น Chelation Hifu Pore Hair Removal Laser freckle dark spot cellulite SculpSure Ultherapy กำจัดไขมัน adenaa ลบรอยสักคิ้วด้วยเลเซอร์ ลบรอยสักคิ้ว Eyebrow Tattoo Removal เพ้นท์คิ้ว 3 มิติ สักคิ้ว 3 มิติ
ให้ใจหายใจ สุขภาพ วิธีลดความอ้วน การดูแลสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกาย สุขภาพผู้หญิง สุขภาพผู้ชาย สุขภาพจิต โรคและการป้องกัน สมุนไพรไทย ขิง น้ำมันมะพร้าว ผู้หญิง ศัลยกรรม ความสวยความงาม แม่ตั้งครรภ์ สุขภาพแม่ตั้งครรภ์ พัฒนาการตั้งครรภ์ 40 สัปดาห์ อาหารสำหรับแม่ตั้งครรภ์ โรคขณะตั้งครรภ์ การคลอด หลังคลอด การออกกำลังกาย ทารกแรกเกิด สุขภาพทารกแรกเกิด ผิวทารกแรกเกิด การพัฒนาการของเด็กแรกเกิด การดูแลทารกแรกเกิด โรคและวัคซีนสำหรับเด็กแรกเกิด เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาหารสำหรับทารก เด็กโต สุขภาพเด็ก ผิวเด็ก การพัฒนาการเด็ก การดูแลเด็ก โรคและวัคซีนเด็ก อาหารสำหรับเด็ก การเล่นและการเรียนรู้ ครอบครัว ชีวิตครอบครัว ปัญหาภายในครอบครัว ความเชื่อ คนโบราณ

 

โดย: สมาชิกหมายเลข 4061181 25 สิงหาคม 2560 13:16:14 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.