ที่พักนักตระเวนแดนฝัน
Group Blog
 
All blogs
 

ไฟเผาตึกมอดแล้ว ไฉนไฟเผาใจยังไม่มอด?

เราไม่ชอบเลย เวลาคนด่ากันในที่หยาบคายผ่านสื่อ หรือที่ไหนก็ตามที่ทำให้คำด่านั้นกระจายออกไป ไม่ว่าคนที่ถูกด่าจะเคยทำอะไรมาก็ตาม

ที่จริงเราเองก็เคยของขึ้น เคยด่า เคยรู้สึกว่าคนบางคนชั่วเกินกว่าจะเรียกได้ว่า "มนุษย์" หรือกระทั่งควรถูกเรียกว่าเป็นสัตว์เดรัจฉาน ตอนนี้ก็ยังรู้สึกเป็นพักๆ แต่พอเห็นใครต่อใครออกมาด่าคนที่แค่ "ความเห็นไม่ตรง" กับตัวเอง มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย

คิดว่าการด่าจะทำให้คนถูกด่าเปลี่ยนความคิดได้เหรอ? หรือก็แค่อยากให้เขาได้เจ็บได้ร้อน ได้รู้สึกเป็นทุกข์ ให้ตัวเองได้สะใจ ได้รู้สึกว่าตัวเหนือกว่า ได้ระบายอะไรที่มันกรุ่นอยู่ข้างในออกไปบ้าง?

ถ้าจุดประสงค์ของการด่าคือข้อหลัง ก็ด่ากับเพื่อนฝูง ด่ากับอากาศ ด่าในที่ลับยังไงก็ได้ เขียนลงกระดาษแล้วฉีก เผา หรือพิมพ์แล้วดีลีทก็ได้ (ใช้พลังงานออกไป ใจจะได้ร่มๆ บ้าง)

แต่อย่านำ "ไฟ" นั้นไปไหม้คนอื่นเลย

เราไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพันธมิตรที่ปิดสนามบิน เพราะเขาทำให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเดือดร้อนลำบาก

เราไม่เห็นด้วยกับการกระทำของนปช. เพราะทำให้คนอีกมากมายเดือดร้อนลำบาก...อาจจะยิ่งกว่า

แต่เราไม่เห็นด้วยกับการด่าคนที่ไม่เห็นด้วย หรือด่าแบบเหมารวม เรียก "ควายแดง" บ้าง "ไพร่แดง" บ้าง ยิ่งผ่านสื่อยิ่งแล้วใหญ่ มันยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกแบ่งแยก เกลียดชัง เกิดรอยร้าวกันมากขึ้น

เกิดการ "เผา" กันมากขึ้น

เราไม่พอใจ แต่ก็เคยคิดว่าเราทำอะไรได้ เขาใช้กันจะทั่วบ้านทั่วเมือง เว้นแค่เรากับคนไม่กี่คนได้ละมั้ง มีคนชอบฟอร์เวิร์ดเมล์ด่าแดงมาให้เรา เราก็แค่ไม่ส่งต่อ เท่านั้นเอง

แต่วันนี้ได้เมล์ฉบับหนึ่ง ซึ่งทำให้เรารู้สึกว่าไม่พูดไม่ได้

เป็นเมลประณามเด็กสอบเข้าปีหนึ่งคนหนึ่ง ซึ่งเจอข้อหาหมิ่นสถาบัน เพราะสิ่งที่เธอโพสท์ลง FB

ที่จริงก็เคยได้ยินมาบ้างแล้ว แต่วันนี้เพิ่งได้รับกับตัวจริงๆ

เราคิดว่าถ้าเธอผิด เธอจะผิดที่ด่าหรือหมิ่นประมาทผู้อื่นให้ได้รับความเสียหาย (อันนี้เราพูดได้ไม่เต็มปาก เพราะไม่สามารถทนอ่าน cap screen ในเมล์นั้นได้ละเอียด ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เธอเขียน แต่เพราะสิ่งที่ "ถูกเขียน" เกี่ยวกับเธอ)

แต่...เธอผิดหรือเปล่าที่ไม่รักในหลวง เธอสมควรถูกด่า ถูกสาปแช่งเหยียบย่ำ ไปจนถึงตัดสิทธิ์ในการศึกษาเลยหรือ?

เรื่องนี้เราตอบไม่ได้ ถึงส่วนตัวจะเชื่อว่าคนไทยควรจะรักในหลวง ไม่ใช่เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าแผ่นดิน สมมติเทพ หรือเทพเจ้ามีชีวิตที่ล่วงละเมิดไม่ได้ แต่เพราะพระองค์ทรงเสียสละมากมายเพื่อประชาชนของพระองค์ ตัวเราเองเคารพรักพระองค์ในฐานะ "นักพัฒนา" ผู้อุทิศตนเพื่อประเทศไทยมากกว่า

เท่าที่อ่านประวัติของเธอคร่าวๆ ในเมล์นั้น เราคิดว่าเธอเชื่อในประชาธิปไตย แต่หัวรุนแรงเมื่อเทียบกับคนไทยโดยทั่วไป เธอน่าจะมีความคิดในเรื่องที่เธอสนใจดีทีเดียว เห็นจากการที่เธอได้รางวัลประกวดเขียนเรียงความ "ประชาธิปไตยสัมบูรณ์"

แต่ความเห็นในฟอร์เวิร์ดเมล์ ทำให้เราสะอึก...

เขาเขียนประมาณว่าเธอรู้ภาษาไทยดีด้วยหรือ นึกว่ารู้แต่ภาษาควาย นั่นเองที่ทำให้เราทำได้แค่สแกนเมล์นั้นผ่านๆ และกดดีลีทอย่างไม่ลังเล เมื่อเมล์นั้นจบด้วยรูปเธอ พร้อมกับคำบอกว่า หน้าตาไม่น่ารักแล้วยังทำตัวเลว (เราไม่ได้อ่านละเอียด จำไม่ได้ทุกคำ แต่คิดว่าน่าจะประมาณนี้)

เราไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ควรประณามหรือไม่ แต่คนที่เขียนถึงเธอแบบนั้น เราขอบอกเลยว่าน่าประณามสำหรับเรา

มันเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ ประชดประชัน และการด่าทอ มิหนำซ้ำยังนำเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องมาวิจารณ์ เช่นหน้าตาของเธอ

เรากังวลที่สังคมไทยกลายเป็นอย่างนี้

เรากังวลที่คนมีอารมณ์โกรธตอบโต้ด้วยการ "เผา" ไม่ใช่แค่เผาเมือง แต่เผาทั้งตัวเองกับคนอื่นด้วยวาจา ด้วยการกระทำ ด้วยอะไรก็ตาม

เราเห็นมามากเกินพอแล้ว ที่คนใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลตามเว็บบอร์ดต่างๆ กระทั่งใครเห็นต่างกับตัวเองก็ด่าหยาบๆ คายๆ สาปแช่ง ไม่ใช่แค่เรื่องการเมือง แค่มีคนมาแย้งว่าฟอร์เวิร์ดเมล์ที่นำมาลงไม่ใช่ความจริง ก็ยังถูกด่าอย่างกับไปฆ่าพ่อแม่ใครตาย

เราหวังว่าถ้าใครๆ ช่วยกันดับไฟ หรืออย่างน้อยก็ไม่เอาไฟไปจุดต่อ มันจะได้มอด และเมืองไทยจะได้ดีขึ้นกว่านี้ เราจะได้คุยกันด้วยเหตุผล ยอมรับความเห็นต่าง และช่วยกันหาทางพัฒนาอะไรต่อมิอะไรขึ้นได้กว่านี้

เรายังหวังว่าประเทศของเราจะเป็นอย่างนกฟีนิกซ์ ที่คืนชีวิตใหม่จากเถ้าถ่านของตนเอง

แต่กว่าจะถึงวันนั้น ขอเถอะ อย่าเอาไฟในใจตัวเองมาเผาให้ใครเห็นเลยนะ




 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 25 พฤษภาคม 2553 20:28:10 น.
Counter : 795 Pageviews.  

บล็อกดัก - ขอพูดสักทีนะ

บล็อกนี้คงทำให้จขบ. ดูเป็นคนต่อต้านสังคมไปเลยทีเดียว

แต่ก็อยากพูดจริงๆ นะ

ขอบคุณคนที่คอมเมนต์สุขสันต์วันเกิดมากมายกับสวัสดีปีใหม่ในบล็อกครับ บางท่านเหมือนไม่เคยรู้จักไม่เคยอ่านกันเลย แต่ก็มาอวยพรให้พบเจอแต่สิ่งดีๆ ยินดีจริงๆ

...ถ้าเพียงแต่จะอ่านดูสักนิดว่าในบล็อกที่จขบ. เขียนไว้นั้นว่าด้วยอะไรบ้างจะยินดีขึ้นอีกมาก

จขบ. อาจซีเรียสไปสักหน่อย แต่คิดว่าการคอมเมนต์เกี่ยวกับเนื้อความในบล็อกคือมารยาทที่พึงกระทำ มิใช่พูดอะไรก็ได้ แม้จะเกี่ยวกับวันสำคัญหรือเทศกาลดีๆ ใดๆ ก็ตามแต่ ความเห็นดีๆ ที่ส่งมาราวกับพูดลอยๆ ไม่ได้พูดกับใครโดยเฉพาะ จึงแลดูเหมือนการ "หว่าน" ไปนิดนึง

เข้าใจว่าใกล้ช่วงเทศกาล ใครๆ ก็อยากมอบความสุขให้กัน แต่ในเมื่อเป็นพื้นที่สำหรับแสดงความเห็นต่อสิ่งที่คนอื่นเขียน ก็ควรแสดงความเอาใจใส่ก็สิ่งที่เขาเขียนครับ

ตอนใกล้วันเกิด บล็อกล่าสุดเป็นบล็อกกลอนเปล่าภาษาอังกฤษ ซึ่งจะเรียกว่าแต่งเพื่อระบายอารมณ์ในตอนนั้นก็ได้ จขบ. ไม่ได้คาดหวังหรอกว่าจะมีใครมาคอมเมนต์เรื่องกลอน แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีคนมาอวยพรวันเกิดให้มากขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันเลย

ใกล้ปีใหม่ จขบ. เปิดบล็อกใหม่เกี่ยวกับชื่อตัวละครในนิยาย และก็ได้คอมเมนต์แรกเป็นการสวัสดีปีใหม่ หากคุณไผ่ที่อวยพรเป็นคนเดียวกับคุณริวไผ่ที่เคยคอมเมนต์นิยายมาก่อน ก็ขอฝากสวัสดีปีใหม่ ขอให้คุณได้รับพรแห่งความสุขความสมปรารถนาทุกประการ และขอบคุณที่ทักทายกันครับ

แต่หากไม่ใช่ ก็ยินดีที่ได้รู้จัก บล็อกกลอนคุณแต่งได้น่ารักมากๆ หลายบท หวังว่าหากจขบ. แต่งกลอนหรือบทประพันธ์อื่นๆ จะได้รับความเห็นชี้แนะจากคุณบ้างครับ

ขอบคุณในปรารถนาดีครับ ขอสวัสดีปีใหม่ให้คนส่งทุกๆ ท่าน และคนอ่านด้วย แม้จะรู้สึกแปลกๆ หน่อยก็เถอะ

ปล. นั่งรอนับว่าในบล็อกนี้จะมีคห. สวัสดีปีใหม่มั้ยนะ และมีซักเท่าไหร่




 

Create Date : 29 ธันวาคม 2552    
Last Update : 29 ธันวาคม 2552 0:45:36 น.
Counter : 430 Pageviews.  

เจ็บแค้นเคืองโกรธ...ไยไม่อภัย

เราเชื่อมั่นในการให้อภัย

ให้อภัยในที่นี้ไม่ได้หมายถึงลืมๆ ที่เขาเคยทำไปแล้วจับมือกัน ดีกันทุกประการ ทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แต่ต่อให้ไม่ถือสาแล้วก็จะยังจำว่าเขาเคยทำอะไรไว้ ระวังไม่ให้เราต้องเจ็บอย่างนั้นอีก มันบาด แต่ก็หวังว่าสักวันมันจะเลือน เหลือเป็นรอยแผลเป็น เป็นบทเรียน

เราเคยมีคนในห้องเรียนเดียวกันที่เกลียดกันมาก มีเรื่องจะเป็นจะตายแบบเด็กสุดๆ ตอนนั้นเคยสะใจเวลาเขาถูกครูทำโทษ (ด้วยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเรา) ตอนนี้บอกไม่ได้ว่าให้อภัย แต่ก็เฉยๆ ไม่คิดอยากให้เขาเจอเรื่องเลวร้ายอะไร เรียกอีกอย่างก็เหมือน detach ไปแล้ว แต่ไม่รู้จะตรงกับปล่อยวางหรืออโหสิหรือเปล่านะ

บางที คนที่เคยรู้จักจริงๆ แล้วไม่ต้องนิสัยกัน เกิดดราม่ากัน เมื่อเวลาผ่านไปเราคงเกลียดไม่ลงจริงๆ กระมัง เป็นเรื่องประหลาด เพราะมีบางคนที่เรารู้จัก ใครๆ หลายคนก็รู้จักผ่านทางสื่ออะไรต่างๆ แล้วเราบอกได้ว่าเกลียด ฝังยาวนานมาก

แล้วบางที ความเกลียดก็กลายเป็นความรู้สึกแง่ลบมากๆ ประมาณว่าคนคนนี้ชั่วขนาดนี้ โกงกินขนาดนี้ โอ้อวดโอหังขนาดนี้ ตื้นเขินขนาดนี้ (พูดโดยรวม ไม่มีใครที่เราเกลียดที่รวมมิตรทุกนิสัยนี้ในคนเดียวกัน) ทำไมประสบความสำเร็จ ทำไมโด่งดัง ทำไมยังมีคนชอบคนบูชา บางทีก็อยากให้คนพวกนี้ดิ่งละลิ่วสู่ที่ต่ำ อยากให้พรรคพวกที่ชอบเห็นว่าสิ่งที่พวกเขายกย่องไม่ใช่เพชรใช่ทอง อยากให้คนเห็นค่าของเพชรหรือทองที่เก็บงำไว้ ไม่อวดตัว แต่เมื่อสัมผัสจะเห็นค่าที่แท้ได้บ้าง

มันคงเป็นความเจ็บแค้นอย่างหนึ่ง

ใช่ ไม่มีใครไม่เคยเจ็บแค้นหรอก แต่การเจ็บแค้นก็ไม่ดีจริงๆ ตอนนี้ห้ามไม่ได้ แต่ก็รู้ว่าไม่ดี คนที่เราเจ็บแค้นไม่รู้อะไรกับเรา เราต่างหากที่เสียสุขภาพจิต ไม่เป็นอันทำอะไรต่อ แต่ปล่อยให้มันเลือนไป มันก็ยังซุกอยู่ในซอกหลืบสักซอก มีข่าวคราวของคนคนนั้นมากระทบอีกก็เต้นเร่าอีก ให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นมนุษย์ที่มีจิตลบจริงๆ

แต่เราไม่อยากไปป่าวประกาศเป็นสาธารณะหรอกนะว่าเกลียดใครเขา ไม่อยากทำลายเขาด้วยวิธีต่างๆ ทั้งแจ้งและลบ นอกจากเขาเข้ามาระรานเราหรือสิ่งสำคัญของเราก่อน บางอย่างที่สำคัญต่อเรา และสำคัญกว่าความรู้สึกพวกนี้มันต้านอยู่ บวกกับความรู้สึกส่วนตัวด้วยว่าอาละวาดฟาดหัวฟาดหาง ใช้อารมณ์ในสื่อสาธารณะมันก็ไม่ดี

เราไม่คิดว่าความโกรธทำให้อะไรดีขึ้น เราชอบการหาข้อสรุปด้วยเหตุผล และยอมรับความคิดเห็นต่างมากกว่า คนที่แรงหรือคนที่ตรงคงหาว่าเราเป็นพวกเสแสร้ง ทำตัวเป็นมนุษย์เหตุผล แต่แล้วอย่างไร เราชอบของเราแบบนี้ เราชอบคนถ่อมตัว เราชอบคนไม่โอ้อวดออกนอกหน้า เราชอบคนที่คำพูดกับการกระทำไม่ค้านกัน และสำคัญที่สุด เราไม่ชอบคนที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนโดยไม่ละอาย และคนที่ดิสเครดิตคนอื่นเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง

แต่เราเจ็บแค้นพิกล และเวลาเจ็บแค้น มันจะบล็อคให้ทุกอย่างชะงักไป จะเขียนหรือทำอะไรก็ไม่ออก

เคยอ่านบทความธรรมะ เขาบอกให้แผ่เมตตา เพราะยิ่งคนมุ่งร้ายต่อผู้ไม่มุ่งร้ายตอบ คนนั้นก็จะได้รับผลกรรมเร็วขึ้น ยิ่งเราไปเจ็บแค้น มุ่งร้ายเขาในใจ ก็จะเป็นการก่อกรรม หล่อเลี้ยงให้เขาไม่ได้รับกรรมชั่วต่อไป ไม่ค่อยเข้าใจหรอกนะ แต่คิดว่ามันมีเหตุผลทางจิตที่ดีเบื้องหลังการให้อภัยอยู่เหมือนกัน

หากให้อภัยปล่อยวางได้ ผลดีก็เกิดกับตัวเราเอง ไม่เกี่ยวกับเขา ความโกรธความแค้นทำลายจิตตัวเราเอง ไม่เกี่ยวกับเขา เมื่ออภัยได้จริงๆ เราไม่สานต่อความเจ็บแค้น และไม่เก็บมันเป็นเนื้อร้ายในใจ ด้วยเหตุนี้ เราเลยชอบตัวละครที่ให้อภัย (แต่ระวังตัวหลังให้อภัยด้วย ไม่ให้ใครมาทำร้ายแบบเดิมอีก) และอยากให้อภัยได้

ถึงเราไม่ใช่คนถูกกระทำโดยตรงก็เถอะ ยังรู้สึกเลยว่ามันยาก...ยากมาก

แต่ก็หวังว่าสักวันจะทำอย่างนั้นได้นะ




 

Create Date : 01 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 1 พฤศจิกายน 2552 12:08:43 น.
Counter : 532 Pageviews.  

A Flower

In my heart
There exists A flower
It is no where
Except
In my heart
It is just
There
Inside
Here
My
Heart

I want to
Show
It

Call
Sing
Draw
Write
Bare
My
Heart
Show
Flower

Hurt
Myself
And
Am
Hurt

Scars
On
Bruised
Petals
Torn

Tears
Flow
Water
Flower

It
Sprouts
More
Grows
Strong

Blooms
Bare
Golden
Nectar

Show more
Hurt more
But never
Gone

It
Stays
No where
Now here
In
My Heart




 

Create Date : 27 กันยายน 2552    
Last Update : 27 กันยายน 2552 23:03:03 น.
Counter : 475 Pageviews.  

Don't know why I'm crying...

เมื่อวาน มีคนพูดบางอย่างกระทบเรา ตื่นมาเช้าวันนี้ เราคิดอยากบอกอะไรเขา มานึกตอนนี้จำไม่ได้ คงอยากบอกให้อ่านจริงๆ แล้วค่อยคอมเมนต์ ไม่ใช่สักแต่คอมเมนต์อะไรเรื่อยเปื่อย ไม่เข้ากับเรื่อง ไม่ใช่การติเพื่อก่อกระมัง

ที่จริง เขาทำอย่างนี้มานานเป็นปีแล้ว คิดว่ามีหลายคนไม่ชอบนอกจากเรา เคยคิดอยากอีเมล์บอกเขาให้เลิกคอมเมนต์แนวนี้เสียที แต่ถามเพื่อนคนหนึ่งก่อนนั้น เขาบอกว่าในเมื่อเราจะเป็นอาจารย์ ควรฝึกความอดทนไว้ เราจึงไม่ได้บอก และเราก็ปล่อยมันเฉยๆ มานานแสนนาน

แต่ครั้งนี้ ทำไมถึงรู้สึกว่ามันกระทบรุนแรง คงเป็นเพราะเขาย้ำสิ่งที่เรากลัวตรงๆ ก่อนนี้เขาแค่พูดว่า คำ A ที่เราใช้ทำให้นึกถึงคำ B ซึ่งไม่เกี่ยวกันเลย หรือพูดถึงตัวพล็อต ซึ่งเรารู้แน่อยู่แล้วว่าเปลี่ยนตามที่เขาต้องการไม่ได้ มันต้องเป็นเช่นนั้น แต่ครั้งนี้เขาพูดเรื่องเทคนิคการเขียน พูดถึงข้อจำกัดที่เราเห็นแต่ต้นแล้ว และพยายามรับมือสุดความสามารถ เราหวังว่าเราทำได้ดี แต่จู่ๆ เขาก็มาตอกเปรี้ยงให้ระวังเรื่องนั้น เราอยากรู้มากกว่าว่าคนอ่านเห็นยังไงกับความพยายามรับมือของเรา ไม่ใช่ generalize ว่าวิธีนี้ไม่ควรใช้ จึงรู้สึกว่ามันแรงมาก ย้ำจุดเราซึ่งตอนนั้นไม่เห็นความเห็นของคนอ่านอื่นๆ จนเซ

แต่ที่จริง มาคิดดูตอนเย็นนี้ หลังจากพี่เคียวช่วยให้กำลังใจ และเจอเรื่องดีๆ มาทั้งวัน ก็คิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจก็ได้ คอมเมนต์นั้นอาจไม่ได้แสดงอะไรเลย นอกจากว่าเขาอ่านแบบผิวเผินแค่ไหน

แล้วก็อาจต้องขอบคุณด้วยกระมัง ที่เขาทำให้เรารู้จักตัวเรากับพ่อเพิ่มขึ้นนิดหน่อย

เมื่อเช้า ลองถามพ่อดู เหมือนไม่มีความรู้สึกเกี่ยวข้อง พ่อก็แนะนำว่าหากเป็นเรื่องเราเองก็อย่าออกไปพูดเลย มันจะกลายเป็นเรื่องส่วนตัว ควรพูดเมื่อเป็นเรื่องคนอื่นมากกว่า คิดว่าตัวเองเห็นด้วย แต่มันก็แอบแปลบในใจกระมัง ว่าตอนคนอื่นบ่น เราทำเป็นเฉยๆ ฉันรับได้ ฉันไม่ชอบ แต่โอเค ทว่าตอนนี้ทำตัวเหมือน hypocrite บอกคนอื่นที่รู้สึกไม่ดีกับเขาเหมือนกันว่าเราโอเค แต่พอถึงคราวเรา เรากลับเป็นเสียเอง จากนั้นก็เหมือนพูดให้พ่อเข้าใจว่าอยากบอกอะไรกับเขา ทำนองเราพยายามทำให้เคลียร์ที่สุดแล้ว ขึ้นอยู่ว่าคนอ่านจะอ่านเคลียร์แค่ไหน อยากรู้มากกว่าว่า "ถ้า" เขาอ่านจริงๆ จะคิดว่าเคลียร์แค่ไหน พ่อก็แนะนำวิธีพูดที่เบาลงให้ (ซึ่งคิดว่าตอนอารมณ์เย็นแล้ว เราคงพูดตามที่พ่อว่า มันฟังดูดีกว่าจริงๆ)

แต่แล้ว พ่อก็ลงท้ายเหมือนเดิม "ในโลกยังมีอะไรที่หนักกว่านี้อีกมาก อย่าอ่อนไหวเกินไป"

เราไม่ชอบคำนี้ ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนอ่อนไหว คิดมาก พอได้ยินอย่างนี้จะรู้สึกเหมือนพ่อบอกว่าเราอ่อนแอ รับมือกับเรื่องเล็กๆ ในโลกที่มีอะไรหนักหนามากกว่านี้ไม่ได้ เราจะรู้สึกเหมือนอ่อนแอเป็นความผิด ไม่ควรแสดงออก ไม่ควรให้ใครรู้ เวลาได้ยินพ่อพูดแบบนั้นจะรู้สึกตาร้อนๆ อยากร้องไห้ แต่ไม่ค่อยอยากร้องให้พ่อเห็น แต่เราก็คิดอยู่ดีนั่นล่ะว่าคนเราก็มีเวลาที่อ่อนแอได้เหมือนกัน มีเวลาที่ไม่อยากเฟคเข้มแข็งเหมือนกัน ขอเราล้มก่อนได้ไหม ล้มแล้วอาจนิสัยเสียที่อยากได้คนปลอบ ไม่อย่างนั้นก็ทิ้งเราไว้เงียบๆ ก่อน อย่าเพิ่งมาพูดอะไรกระทบใจเรา สงบแล้วเราจะลุกขึ้นเอง ไม่ใช่บอกว่ามีการล้มที่เจ็บกว่านี้อีกเยอะ เจอแค่นี้อย่าร้องไห้เลย

ว่าไป เป็นเรื่องแปลกแต่จริงเหมือนกัน เวลาร้องไห้จะไม่อยากให้พ่อเห็น แต่รู้สึกดีกว่านิดหน่อยเวลาร้องไห้กับแม่ แม่ไม่ชอบอ่านหนังสือมาก แต่แม่ฟัง บางทีก็ปล่อยให้เราพูดใส่อารมณ์ของเราไป แค่ฟัง...ฟัง โวยวายสักพักเราก็สงบลงเอง อ่อนแอให้แม่เห็นจะรู้สึกดีกว่าอ่อนแอให้พ่อเห็น

ที่จริง เราอาจมีปมอะไรสักอย่างก็ได้ เรารู้สึกเหมือนตัวเองเหมือนพ่อมากกว่า พ่อชอบอ่านหนังสือ ดูหนัง รู้รอบตัวเยอะ ถึงจะไม่ค่อยอ่านนิยายแฟนตาซี เคยเอาเรื่องที่เราชอบให้พ่ออ่าน พ่อก็คอมเมนต์ว่ายังมีช่องใส่อะไรได้อีกมาก พ่อไม่เคยอ่านเรื่องที่เราแต่งแล้วได้ตีพิมพ์ เคยแต่อ่านบทนำของเรื่องที่เราค้างไว้นานแล้ว แต่งด้วยความเด็ก พ่อตั้งคำถามเกี่ยวกับการนำเสนอของเรา ตอนนั้นจำไม่ได้ว่ารู้สึกยังไงเหมือนกันที่พ่ออ่านแล้ววิจารณ์อย่างนั้น มันผ่านไปนานแล้ว แต่ก็เป็นเรื่องแปลกอีกนั่นล่ะ แม่ที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ และหลับคานิทานที่อ่านให้เราฟัง กลับอ่านนิยายที่ได้ตีพิมพ์ของเราจนจบ ถึงแม่จะบอกว่าอ่านไว้จะได้รู้ เผื่อบอกให้เพื่อนแม่ฟังว่าเป็นแนวอะไร โฆษณาได้ถูก แม่ถามเล่นๆ ว่าทำไมในเรื่องมีพระชนนีที่ร้ายมาก ไม่รักลูกของตัวเอง แถมอายุเท่าแม่พอดี (เป็นความบังเอิญ ตอนคิดอายุตัวละครนั้นเป็นราวปีก่อน คิดด้วยเหตุผลแค่ว่าอยากให้เห็นว่าชีมีลูกช้าตามบรรทัดฐานของคนสมัยนั้น ไม่เกี่ยวกับอายุของแม่เลย) ถามอีกว่าทำไมมีตัวละครพ่อที่กินเหล้าจนอ้วน แล้วก็ (คนเขียนคาดว่าตับแข็ง แต่มันอาจถูกอีแม่คนนั้นวางยาก็ได้) ตายไป เพราะพ่อชอบกินเหล้า (แต่ก็ไม่ได้กินมากอีกนั่นล่ะ) คิดว่าตัวเองบอกแม่ไปว่าสองตัวนี้ไม่เกี่ยวกันเลย แม่ไม่ได้ชมว่าเราเขียนดี แต่ก็รู้สึกดีจังที่แม่อ่าน

บางที นี่อาจเป็นเหตุที่เราชอบเขียนให้ตัวละครชายมีปมขัดแย้งกับพ่อก็ได้ ทั้งคนจรและอาเมียร์ อนิมัส (ด้านผู้ชาย) ในตัวเราคงอิหลักอิเหลื่อกับพ่อ ไม่ได้รู้สึกว่าพ่อไม่รัก แต่รู้สึกเหมือนพ่อคาดหวังอะไรบางอย่างกับเรา หรือไม่เข้าใจอะไรสักอย่างในตัวเรา ซึ่งนั่นเป็นส่วนที่เราอยากให้เข้าใจ แล้วก็ อาจเป็นเหตุอีกเหมือนกันนั่นแหละที่ทำให้เราชอบเขียนแม่ที่ดี เสียสละได้เพื่อลูกอย่างยิ่ง อย่างแม่บุญธรรมของสิมา สิมา กับกิลดา (ยกเว้นพระชนนีข้างต้น) ไม่งั้นก็ให้ตัวละครชายแบลงค์ไปเลยในเรื่องแม่แท้ แต่พบ mother-figure ในตัวละครหญิงอื่นๆ แต่บางทีอาจมีอะไรมากกว่านั้น เราอาจ generalize ไปเองในตอนนี้ อย่างไรก็ดี อยากบอกว่าเห็นพ่อกับแม่เราเองเป็นเหมือนพ่อแม่บุญธรรมของสิมา เป็นพ่อแม่ที่รักและอยู่ข้างลูกเสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราเชื่ออย่างนั้นจริงๆ

พิมพ์ไปเราร้องไห้ ตอนนี้ก็ยังตันจมูก น้ำตาอาบแก้มอยู่ พ่อแม่กับน้องกินข้าวอยู่ข้างหลัง ไม่รู้ว่ารู้หรือยังว่าเราร้องไห้ แต่คิดว่าถึงรู้ก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ไม่ได้คับแค้นใจอะไร มันแค่ไหลออกมาเฉยๆ เราไม่อยากบอกอะไรคนคนนั้นอีกแล้ว เข้าสู่ช่วงที่เชื่อว่ามีบางอย่างที่ตะโกนจนคอแตก...คนที่ไม่อยากได้ยินก็จะไม่ได้ยินต่อไป เราคิดว่าคงไม่บอกอะไรพ่อ เราอาจคิดมากไปเอง พ่อเป็นคนมองอย่าง realistic ก็อยากให้เรามีภูมิคุ้มกันไว้บ้าง เราไม่รู้ว่าภูมิคุ้มกันเป็นอย่างไร เราเป็นคนอ่อนไหว และบางครั้งก็ภูมิใจในความอ่อนไหวนั้น ถึงอย่างนั้น เราก็รู้ว่าเราเป็นคนที่ล้มแล้วลุก ถึงจะฟูมฟายงอแงก่อนลุก เราก็จะลุกเองเมื่อมีแรงเดินต่อ เรามาได้ไกลแล้ว เราดีใจที่มีคนคอยประคอง...บางครั้งอย่างไม่คาดฝัน และเราอยากเดินไปเรื่อยๆ เราไม่อยากอยู่นิ่งกับที่

ถ้าพ่อถาม เราจะบอกว่าร้องไห้ตอนเขียนนิยาย การร้องไห้ตอนเขียนนิยายไม่ผิดอะไรนี่นา อาจารย์ชมัยภรท่านเพิ่งบอกวันนี้เอง




 

Create Date : 26 กันยายน 2552    
Last Update : 26 กันยายน 2552 19:38:09 น.
Counter : 494 Pageviews.  

1  2  

Anithin
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add Anithin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.